สัญญาน้ำมันดิบ WTI ร่วง 0.6% ปิดที่ 52.41 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล หลังนักลงทุนกังวลผลเจรจาการค้าสหรัฐ-จีน เศรษฐกิจโลกชะลอตัว ขณะที่สหรัฐยังผลิตน้ำมันเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
เมื่อคืนวันจันทร์ (11 ก.พ.) สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) งวดส่งมอบเดือนมี.ค. ปิดที่ 52.41 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ลดลง 0.31 เหรียญสหรัฐ หรือลดลง 0.6% ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ งวดส่งมอบเดือนเม.ย. ปิดที่ 61.51 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ลดลง 0.59 เหรียญสหรัฐ หรือลดลง 1%
สัญญาซื้อขายน้ำมันดิบล่วงหน้าปรับตัวลดลง เนื่องจากนักลงทุนกังวลเกี่ยวกับการเจรจาข้อพิพาทการค้าระหว่างสหรัฐและจีน ที่จะเริ่มมีการเจรจาระดับคณะทำงานระดับสูงในสัปดาห์หน้า ท่ามกลางสถานการณ์ที่กองทัพเรือสหรัฐออกปฏิบัติภารกิจในทะเลจีนใต้ ซึ่งเป็นพื้นที่ขัดแย้งของทั้งสองประเทศ
ทั้งนี้ หากความพยายามในการยุติข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐและจีนไม่ประสบความสำเร็จ สหรัฐจะขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีน มูลค่า 2 แสนล้านเหรียญสหรัฐ จาก 10% เป็น 25% ในวันที่ 1 มี.ค.นี้
ขณะเดียวกัน สัญญาน้ำมันได้รับแรงกดดันจากการที่สหรัฐเพิ่มแท่นขุดเจาะน้ำมันและผลิตน้ำมันเพิ่มขึ้น โดยสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐ (EIA) ระบุว่า ปัจจุบันสหรัฐมีกำลังการผลิตน้ำมันดิบสูงเป็นประวัติการณ์ที่ระดับ 11.9 ล้านบาร์เรล/วัน และเป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ที่สุดในโลกแซงหน้ารัสเซีย และซาอุดีอาระเบีย
นอกจากนี้ นักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก หลังจากคณะกรรมาธิการยุโรป (EC) คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจยูโรโซนจะขยายตัวเพียง 1.3% ในปีนี้ ลดลงจากคาดการณ์เดิม 1.9% และคาดว่าในปีหน้าเศรษฐกิจยูโรโซนจะขยายตัวที่ระดับ 1.6% ลดลงจากคาดการณ์เดิม 1.7%
อย่างไรก็ตาม สัญญาน้ำมันได้รับแรงหนุนจากมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐที่มีต่อเวเนซุเอลา ซึ่งรวมถึงอิหร่าน และการลดกำลังการผลิตน้ำมันดิบของกลุ่มโอเปกและพันธมิตรรวมถึงรัสเซีย ที่รู้จักกันในนามกลุ่มโอเปกพลัส จะลดกำลังการผลิตน้ำมัน 1.2 ล้านบาร์เรล/วันไปจนถึงเดือนมิ.ย.นี้ เพื่อป้องกันอุปทานส่วนเกิน
โดย Suhail Al Mazrouei รมว.พลังงานของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ กล่าวเมื่อวันจันทร์ว่า ตลาดน้ำมันน่าจะเข้าสู่ภาวะสมดุลในไตรมาสแรกของปี 2019