สัญญาน้ำมันดิบ WTI พุ่ง 2.6% ปิดที่ 56.94 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ขานรับสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐร่วง 8.6 ล้านบาร์เรล ขณะที่รมว.พลังงานซาอุฯยันโอเปกเดินหน้ากำลังผลิต
เมื่อคืนวันพุธ (27 ก.พ.) สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) งวดส่งมอบเดือนเม.ย. ปิดที่ 56.94 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 1.44 เหรียญสหรัฐ หรือเพิ่มขึ้น 2.6% ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ งวดส่งมอบเดือนเม.ย. ปิดที่ 66.39 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 1.18 เหรียญสหรัฐ หรือเพิ่มขึ้น 1.8%
สัญญาซื้อขายน้ำมันดิบล่วงหน้าพุ่งขึ้นแรง หลังสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐ (EIA) รายงานว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐลดลง 8.6 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว สวนทางนักวิเคราะห์ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 2.8 ล้านบาร์เรล ขณะที่สต็อกน้ำมันเบนซินลดลง 1.9 ล้านบาร์เรล และสต็อกน้ำมันกลั่น ซึ่งรวมถึงฮีตติ้งออยล์และดีเซล ลดลง 300,000 บาร์เรล
รายงานประจำสัปดาห์ของ EIA ยังระบุว่า การผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐพุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 12.1 ล้านบาร์เรล/วัน และมีการส่งออกน้ำมันดิบเกือบ 3.4 ล้านบาร์เรล/วัน ใกล้เคียงกับระดับสูงสุดตลอดกาลของสัปดาห์ที่แล้ว ที่สหรัฐมีการส่งออกน้ำมันดิบ 3.6 ล้านบาร์เรล/วัน
สัญญาน้ำมันดิบยังได้รับแรงหนุนจากการที่รมว.พลังงานซาอุดีอาระเบีย ปฏิเสธที่จะทำไม่ทำตามแรงกดดันของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ต้องการให้ราคาน้ำมันลดลง พร้อมทั้งเสนอให้กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และประเทศพันธมิตรขยายเวลาข้อตกลงปรับลดกำลังการผลิตออกไปจนถึงปลายปีนี้ จากเดิมที่จะสิ้นสุดในเดือนมิ.ย.นี้
ด้านบมจ.ไทยออยล์รายงานสถานการณ์ราคาน้ำมันประจำวันที่ 28 ก.พ. ว่า ราคาน้ำมันดิบ WTI และเบรนท์ปรับตัวขึ้นกว่า 2% หลังสหรัฐเผยปริมาณน้ำมันดิบคงคลังประจำสัปดาห์ปรับลดลงมากกว่าที่ตลาดคาด ประกอบกับแรงหนุนจากซาอุดิอาระเบียที่ได้เมินต่อคำวิจารณ์ตลาดน้ำมันดิบของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ
ทั้งนี้ EIA เผยปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐปรับลดลงกว่า 8.6 ล้านบาร์เรล สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะปรับเพิ่ม 2.8 ล้านบาร์เรล ส่วนปริมาณการนำเข้าสุทธิลดลงกว่า 1.4 ล้านบาร์เรล/วัน มาอยู่ที่2.6 ล้านบาร์เรล/วัน ซึ่งต่ำที่สุดเป็นประวัติการณ์ ในขณะที่ปริมาณการส่งออกอยู่ในระดับใกล้เคียงกับระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์
ขณะที่นาย Khalid al-Falih รมว.พลังงานของซาอุดิอาระเบีย เผยว่า โอเปกจะเดินหน้ารักษาเสถียรภาพของตลาดน้ำมันด้วยการปรับลดกำลังการผลิตให้เหมาะสมต่อไปตามวิสัยทัศน์ของกลุ่ม และอาจพิจารณาขยายระยะเวลาปรับลดกำลังการผลิตไปจนถึงสิ้นปี 2562 ซึ่งนับว่าเป็นการเมินเฉยต่อการทวีตของประธานาธิบดีทรัมป์