สัญญาน้ำมันดิบ WTI ร่วง 0.6% ปิดที่ 56.22 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล หลัง EIA เผยสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐพุ่ง 7.1 ล้านบาร์เรล นักลงทุนจับตาความชัดเจนสงครามการค้า
เมื่อคืนวันพุธ (6 มี.ค.) สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) งวดส่งมอบเดือนเม.ย. ปิดที่ 56.22 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ลดลง 0.34 เหรียญสหรัฐ หรือลดลง 0.6% และสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ งวดส่งมอบเดือนพ.ค. ปิดที่ 65.99 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 0.13 เหรียญสหรัฐ หรือเพิ่มขึ้น 0.2%
สัญญาซื้อขายน้ำมันดิบล่วงหน้า WTI ปรับตัวลดลง หลังสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานของสหรัฐ (EIA) รายงานว่า สต็อกน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐพุ่งขึ้น 7.1 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 1 มี.ค. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 1.2 ล้านบาร์เรล
นอกจากนี้ นักลงทุนยังคงติดตามข้อสรุปความตกลงทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีน ซึ่งล่าสุดประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังพยายามอย่างหนักเพื่อให้สหรัฐและจีนบรรลุข้อตกลงทางการค้า เนื่องจากหวังว่า การบรรลุข้อตกลงดังกล่าวจะส่งผลให้ตลาดหุ้นทะยานขึ้น และเป็นผลดีต่อการชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่ 2 ของเขาในปี 2020
บมจ.ไทยออยล์รายงานสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบประจำวันที่ 7 มี.ค. ว่า ราคาน้ำมันดิบ WTI เมื่อคืนวันพุธปรับตัวลดลง หลัง EIA รายงานปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐประจำสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 1 มี.ค. ปรบตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าคาดที่ 7.1 ล้านบาร์เรล
โดยปริมาณน้ำดิบคงคลัง ณ จุดส่งมอบคุชชิ่ง โอกลาโฮมา ปรับตัวเพิ่มขึ้น 3 สัปดาห์ต่อเนื่อง ซึ่งล่าสุดปรับเพิ่มขึ้น 873,000 บาร์เรล มาอยู่ที่ระดับ 47.5 ล้านบาร์เรล ขณะที่ปริมาณน้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซลคงคลังสหรัฐปรับลด 4.2 ล้านบาร์เรล และ 2.4 ล้านบาร์ตามลาดับ
ขณะเดียวกัน ราคาน้ำมันดิบยังได้รับปัจจัยกดดันจากปริมาณการผลิตน้ำมันดิบสหรัฐ ที่อยู่ในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 12.1 ล้านบาร์เรล/วัน ซึ่งลดทอนผลกระทบจากการที่กลุ่มโอเปก (OPEC) และประเทศพันธมิตรตกลงในการปรับลดกำลังการผลิตรวมกว่า 1.2 ล้านบาร์เรล/วัน เพื่อให้ตลาดน้ำมันอยู่ในภาวะสมดุล
อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันดิบได้รับแรงหนุนจากการเจรจาทางการคาระหว่างสหรัฐและจีนที่มีแนวโน้มจะตกลงกันได้ หลังวันพุธที่ผ่านมานายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า การเจรจาการค้ากำลังดำเนินไปได้ด้วยดี
ขณะที่กลุ่มโอเปก (OPEC) และประเทศพันธมิตร คาดว่าจะยังไม่มีข้อสรุป สำหรับการตัดสินใจขยายระยะเวลาในการปรับลดกำลังการผลลิต โดยมีแนวโน้มจะเลื่อนการตัดสินใจออกไปในช่วงเดือนมิ.ย.2562 แทน