“สมคิด” เยี่ยมการท่าเรือฯ สั่งเร่งรัด 4 โครงการลงทุน คาดอนุมัติเอกชนลงทุนท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 ทันรัฐบาลนี้ พร้อมจี้พัฒนาที่ดินเชิงพาณิชย์ 2,353 ไร่
เมื่อวันที่ 14 มี.ค. นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยระหว่างตรวจเยี่ยมการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) ว่า ได้สั่งการให้ กทท.เร่งรัดโครงการสำคัญ 4 โครงการ ได้แก่ 1.โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง เฟส 3 มูลค่า 1.14 แสนล้านบาท 2.โครงการพัฒนาท่าเรือกรุงเทพ หรือท่าเรือคลองเตย 3.โครงการพัฒนาท่าเรือระนอง เฟส 1 มูลค่า 5,471 ล้านบาท และ4.โครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยบริเวณชุมชนท่าเรือคลองเตย หรือสมาร์ทซิตี้
สำหรับโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง เฟส 3 นั้น กทท.จะเปิดให้เอกชนยื่นซองประมูลวันที่ 29 มี.ค. คาดว่าจะได้ผู้ชนะในเดือนเม.ย. และน่าจะเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติทันรัฐบาลนี้ ทั้งนี้ เบื้องต้นได้รับรายงานจากบริษัท ปตท. ว่า จะร่วมกับเอกชนต่างชาติเข้าประมูลโครงการนี้ จึงเชื่อว่าจะมีเอกชนยื่นซองประมูลมากกว่า 2 ราย และการที่โครงการนี้เป็นโครงการใหญ่ ต้องการผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านมาดำเนินการ ไม่จำเป็นต้องเป็นเอกชนสัญชาติไทยทั้ง 100%
ส่วนการพัฒนาท่าเรือกรุงเทพได้ให้นโยบายไปว่า เนื่องจากท่าเรือแห่งนี้ตั้งอยู่ทำเลทองใจกลางกรุงเทพ และเป็นท่าเรือน้ำลึกที่จอดเรือขนาดใหญ่ได้ จึงขอให้พัฒนาเป็นท่าเรือขนส่งสินค้าที่ทันสมัย ควบคู่กับการพัฒนาท่าเรือท่องเที่ยว โดยสร้างท่าจอดเรือสำราญหรือเรือครุยส์ขนาดใหญ่ เพื่อรองรับเรือท่องเที่ยวต่างชาติที่จะเข้ามาจอดแวะพักที่ไทย รวมทั้งพัฒนาพื้นที่รอบท่าเรือให้เป็นแหล่งช้อปปิ้ง ร้านค้า และร้านอาหาร คล้ายๆท่าเรือปูซาน เกาหลีและท่าเรือของสิงคโปร์
ทั้งนี้ หากกทท.จะลงทุนพัฒนาเอง ก็ไม่ควรของบจากภาครัฐ แต่อาจจะใช้วิธีระดมทุนจากประชาชนในรูปกองทุนฟิวเจอร์ฟันด์ โดยตั้งกองทุนขึ้นมาและเปิดขายหน่วยลงทุนให้ประชาชน เพื่อให้ประชาชนร่วมเป็นเจ้าของ
นายสมคิด กล่าวว่า ในส่วนการพัฒนาท่าเรือระนองนั้น จะต้องเชื่อมต่อกับรถไฟทางคู่ชุมพรด้วย เพื่อเป็นท่าเรือในการขนส่งสินค้าจากไทยไปยังเอเชียใต้ เช่น อินเดีย และบังคลาเทศ และศรีลังกา และตนได้ขอให้ กทท.ไปทำการศึกษาโครงการพัฒนาท่าเรือระนอง เฟส 2 ไปพร้อมกันด้วย โดยท่าเรือเฟส 2 จะต้องก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกขนาดใหญ่บริเวณตอนใต้ของระนอง ซึ่งท่าเรือดังกล่าวจะมาทดแทนท่าเรือทวายของพม่า ที่ขณะนี้ยังไม่มีความคืบหน้าในการดำเนินการ
ขณะที่การพัฒนาสมาร์ทซิตี้บริเวณชุมชนท่าเรือคลองเตยนั้น กทท.จะต้องเร่งรัดดำเนินการ เพื่อทำให้ประชาชนในชุมชนคลองเตย 1.3 หมื่นครัวเรือนได้ขึ้นไปอยู่อาศัยบนคอนโด ซึ่งตนได้ขอให้กทท.จัดตั้งทีมพิเศษขึ้นมาผลักดันเรื่องนี้โดยเฉพาะ โดยตั้งเป้าว่าจะให้มีการสร้างที่อยู่อาศัยใหม่เร็วขึ้นจากเดิม 1 ปี หรือเป็นภายในปี 2563 และต้องดูแลประชาชนไม่ให้เดือดร้อนและต้องจัดสวัสดิการให้กับชาวชุมชนเดิมด้วย
นายสมคิด ย้ำว่า ปัจจุบันกทท.มีที่ดิน 2,353 ไร่ ซึ่งมีมูลค่าสูงถึง 8 แสนล้านบาท และมีศักยภาพที่จะนำมาพัฒนาเชิงพาณิชย์ได้ จึงควรเร่งพัฒนาโครงการบนที่ดินดังกล่าว
เรือโทกมลศักดิ์ พรหมประยูร ผู้อำนวยการ กทท. กล่าวว่า กทท.อยู่ระหว่างจัดตั้งบริษัทลูก เพื่อทำหน้าที่บริหารจัดการสินทรัพย์ของกทท. โดยจะเสนอให้ครม.พิจารณาอนุมัติจัดตั้งบริษัทลูกในเดือน ต.ค.นี้ ขณะที่ กทท.มีที่ดินที่มีศักยภาพที่จะนำมาพัฒนาในเชิงพาณิชย์ได้ถึง 2,353 ไร่ ทั้งนี้ ในปีงบ 2561 กทท.มีรายได้ 15,320 ล้านบาท และมีกำไร 6,227 ล้านบาท ส่วนในช่วง 5 เดือนแรกของปีงบ 2562 กทท.มีรายได้ 6,222 ล้านบาท และมีกำไร 2,626 ล้านบาท