หลังผลการวิจัยจากกรมแพทย์ ออกมาว่าสมุนไพรของ หมอแสง ไม่มีฤทธิ์ในการทำลายหรือฆ่าเชื้อมะเร็งได้ ทำให้ หมอแสง เตรียมตัดสินใจอีกครั้งที่จะขายสูตรยาให้ต่างประเทศ และจะจ่ายยาให้กับผู้ป่วยรอบนี้ครั้งสุดท้าย
นายแสงชัย แหเลิศตระกูล หมอแสง เจ้าของสูตรยนาสมุนไพรรักษามะเร็ง เปิดใจกับไบรท์ทีวี ว่า ตอนนี้ต้องบอกว่า น้อยใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น และถ้าจากนี้ไปผู้ป่วยที่เข้ามารับยาไม่มีใครช่วยสนับสนุน หรือการันตี ก็คิดว่าจะขายสูตรยานี้ให้กับต่างประเทศ ซึ่งที่ผ่านมาก็มีต่างประเทศเข้ามาติดต่อขอซื้อแต่เราไม่ขาย ซึ่งรอบนี้ก็คงทำให้ตัดสินใจขายได้ไม่อยาก ตอนนี้ก็มีประเทศจีน และ เยอรมัน ติดต่อขอซื้อแล้วถ้าขายก็คงได้เงินประมาณ 1 พันล้านบาท และอาจจะจ่ายย่าให้ผู้ป่วยรอบนี้เป็นครั้งสุดท้าย
ผู้ป่วยมะเร็งยังมั่นใจรอรับยา “หมอแสง”
ขณะที่ผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่เพื่อสังเกตุการณ์ที่นายแสงชัย แหเลิศตระกูล ซึ่งผู้ป่วยที่รับยาจะต้องมาลงบันทึกประจำวัน พบว่า มีผู้ป่วยและญาติผู้ป่วยเดินทางมาลงบันทึกประจำวันกว่าสองหมื่นคน และจากการสอบถามผู้ป่วยก็ยังมั่นใจยาของ หมอแสง
คุณยายฉวี ทองไทย อายุ 77 ปี จาก จ.พระนครศรีอยุธยา ที่ป่วยเป็นมะเร็งรังไข่ เล่าให้ฟังว่า หลังทราบว่าเป็นมะเร็งรังไข่ก็ไปรักษาที่ โรงพยาบาลแต่อาการมีแต่ทรงกับทรุด จนเมื่อ 4 เดือนที่แล้วทราบข่าวว่า หมอแสงแจกยาสมุนไพร จึงให้ลูกหลานพามารับยาไปทานก็มีอาการดีขึ้น กินได้มีแรง การที่มีข่าวออกมาว่า ยาสมุนไพรหมอแสงไม่สามารถรักษาโรคมะเร็งได้นั้น ตนไม่เชื่อ เพราะถ้าไม่ได้สมุนไพรนี้ไม่รู้ว่าวันนี้ตนจะเป็นอย่างไรและไม่ว่าผลวิจัยออกมาอย่างไรก็จะมารับยาสมุนไพรหมอแสงไปรับประทานตลอดไปเช่นเดียวกับ นางสาวคุณรัตนา ลำพูน อายุ 51 ปี จาก จ.ปทุมธานี บอกว่า ตนป่วยเป็นมะเร็ง มดลูกและรังไข่ระยะที่ 4 เมื่อต้นปีที่แล้วต้องเข้ารับการรักษาตามแพทย์แผนปัจจุบันต้องทนทรมานกับการทำคีโมพราะทุกครั้งจะเจ็บปวดมาก จนทราบว่าหมอแสงแจกยาสมุนไพรรักษามะเร็งจึงมาขอรับไปรับประทานนางสาวรัตนา บอกว่า ครั้งแรกรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น ไม่ปวด มีเรี่ยวแรงและทานอาหารได้จึงไม่ไปทำคีโมอีกเลย และหันมาดูแลตัวเองและกินยาสมุนไพรหมอแสงมาตลอดสิบเดือน เมื่อไปตรวจเลือดผลปรากฏว่าไม่พบเชื้อมะเร็งแต่ก็ยังมาขอรับยาสมุนไพรไปกินเหมือนเดิมเพื่อให้ร่างกายเพิ่มภูมิต้านทานมากขึ้น ซึ่งครั้งนี้เป็นครั้งที่ 11 แล้ว และทุกวันก็ทำงานได้ตามปกติ
เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ให้บริการลงบันทึกประจำวันแก่ผู้ป่วยและญาติที่เดินทางมาลงบันทึกล่าสุดมียอดทะลุสองหมื่นคนแล้ว แม้ว่าจะเหลือเวลาอีกหนึ่งอาทิตย์ ซึ่งคาดว่าน่าจะไม่น้อยกว่าเดือนที่แล้ว