ย้อนคำพูด! ‘อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ’ หลังยื่นคำขาด ประกาศลาออกจากพรรค ประชาธิปัตย์ ลั่น! ไม่มีพรรคอื่น กรีดเลือดมาก็เป็นสีฟ้าจนวันตาย
การประชุมใหญ่วิสามัญพรรคประชาธิปัตย์ ครั้งที่3 วาระสำคัญคือเพื่อเลือกหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ คนที่ 9 นายชวน หลีกภัย อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้เสนอชื่อ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เข้าชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรค นายอภิสิทธิ์ได้ลุกขึ้นกล่าวขอบคุณ นายชวน หลีกภัย ที่ได้ให้การสนับสนุน และพูดถึงคุณสมบัติของตนหลายอย่าง จึงขอใช้เวลาที่ประชุมกล่าวว่า
สิ่งที่จะพูดต่อไปจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง กับอนาคตของพรรคประชาธิปัตย์ ผมกราบขอบพระคุณท่านอดีตหัวหน้าชวน ที่กรุณาไม่เพียงแต่เสนอชื่อผม แต่กรุณาให้การสนับสนุนในการพูดถึงคุณสมบัติ หลายต่อหลายอย่าง และผมก็เกรงใจท่านมาก เพราะหลายท่านอาจจะไม่ทราบ
วิกฤตและปัญหาในพรรคตลอด 4 ปีที่ผ่านมา โดยบอกไม่ได้อยากจะเป็นหัวหน้าพรรคด้วยความอยากจะเป็นส่วนตัว แต่เป็นการตัดสินใจที่มองอนาคตของส่วนรวม และ ตนถูกพาดพิงในหลายเรื่อง ทุกคนทราบดีว่าหลังจากที่ผมแสดงจุดยืนชัดเจน ซึ่งไม่ตรงกับพรรคในเรื่องการร่วมรัฐบาลพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชา ตนต้องระมัดระวังบทบาทของตัวเองมาโดยตลอด และหลายครั้งเกิดผลกระทบของพรรค หลายคนถามตนว่าถอนตัวจากรัฐบาลดีหรือไม่ แต่ตนไม่ได้ไปแสดงความเห็น และบอกว่าหากเป็นเช่นนั้น นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน เลขาธิการพรรคจะทำงานอย่างไร
หากถามว่าวันนี้ มันมีเหตุผลอะไรไหมที่จะต้องกลับมาเป็นหัวหน้าพรรค ภายใต้สถานการณ์หลายอย่างและตนไม่มีตำแหน่งทางการเมืองใดๆเลย ตนก็ตอบได้ว่า “แทบไม่มีเหตุผลอะไรที่จะตอบรับ” แต่ก็คิดเช่นเดียวกับนายชวนว่า ตนก็เป็นหนี้บุญคุณพรรค และมีคนคาดหวัง ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าบางคน โทรหรือบอกต่อหน้า ว่า “เห็นแก่ตัวไม่เข้ามากอบกู้พรรค” ก็ต้องอธิบายให้เข้าใจว่าพรรคประชาธิปัตย์มีระบบกระบวนการหลายสิ่งหลาย แต่สำหรับคนภายนอกส่วนหนึ่งก็ไม่เข้าใจเพราะพรรคเราอย่างที่เคยเรียนว่าน่าจะเป็นพรรคการเมืองเดียวที่การเลือกตั้งหัวหน้าพรรคทุกครั้งเป็นการแข่งขันกันจริงๆ ตามกระบวนการของประชาธิปไตย
ถ้าไปอ่านกฎหมายพรรคการเมืองฉบับล่าสุด ข้อบังคับพรรคการเมืองนั้นต้องส่งเสริมการมีส่วนร่วมของสมาชิกอย่างกว้างขวางไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการประชุมใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเลือกตั้งกรรมการบริหารพรรค ในตำแหน่งสำคัญๆ มีคนไปพาดพิงว่า อ้าว พอพูดเรื่อง 70:30 สมัยตัวเองเขียนไว้ ถ้าไม่ดีทำไมไม่แก้ตอนนั้น
ขอความกรุณาย้อนกลับไปดูประวัติศาสตร์ครับ ตัวเลขสัดส่วนต่างๆ มันเปลี่ยนแปลงมาโดยตลอด แต่ตัวเลข 70:30 แม้กระทั่งผอ.พรรค ก็เป็นพยานอยู่ได้ มันเกิดขึ้นจากการที่เราขณะนั้นคำนวณได้ว่าองค์ประชุมที่เป็น สส หรือ อดีต สส. นั้นมีจำนวนประมาณ 150 แล้ว คสช. เพิ่งยุบสาขาพรรคทั้งหมด เราต้องมาตั้งต้นใหม่ ต้องไปเริ่มต้นจากระบบตัวแทนจังหวัดก่อน
หลายคนบอกว่าพรรคตกต่ำก็คืนกลับมาได้ การเมืองมีขึ้นก็มีลง ตนก็บอกว่ามีขึ้นก็มีลงแน่นอน แต่มีลงไม่ใช่ว่าจะมีขึ้น จึงขอให้ทุกคนคิดกันจริงจังว่าเราอยุ่จุดนี้ได้อย่างไร เราไม่ได้มาถึงจุดนี้เพราะพรรคเราจน ตนอยู่มา 30 ปี ขอยืนยันว่าการสนับสนุนผู้สมัครพรรคและพรรคไม่มียุคใดทำได้มากเท่ายุคนายเฉลิมชัย แต่ความพร้อมที่มากที่สุดตรงนั้น กลับมาพร้อมกับความพ่ายแพ้ทางการเมืองที่ใหญ่ที่สุด ต้องยอมรับว่า ที่เรามาถึงจุดนี้เพราะประชาชนมองไม่เห็นว่าพรรคประชาธิปัตย์มีจุดยืน
ในเมื่อขณะนี้เวลาก็ล่วงเลยมาถึงขนาดนี้เลยแล้วเราไม่คิดจะระดมสมาชิกทั่วประเทศให้มามีส่วนร่วมเพื่อเพิ่มความเข้มแข็งของเราหรือ ก็ไม่เป็นไรเมื่อพรรคตัดสินใจตามนี้แล้วต้องเดินหน้าต่อแต่อยากจะชี้แจงเพื่อเป็นหลักฐานไว้สำหรับคนที่มักจะมาพูดทำนองว่า ตนมาเสนอยกเว้นเนี่ยเสมือนกับ 2 มาตรฐาน ไม่ได้ดูว่า เมื่อก่อนทำอะไรกันอย่างไรจะได้เข้าใจเหตุผลที่ตรงกัน สุดท้ายตนไม่ได้ข้อสรุปตรงนี้ วันนี้ไม่ได้เลือกใครชนะใครแพ้ไม่ว่าจะเหลือผู้สมัครคนเดียว 2 คนหรือ 3 คน แต่วันนี้พรรคเดินต่อไม่ได้ ถ้าไม่มีความเป็นเอกภาพอย่างแท้จริง ตนลงตนแพ้ก็น่าจะมีปัญหา หากชนะก็ยิ่งมีปัญหาเข้าไปใหญ่ หลายคนจะยอมรับหรือไม่ บางคนไม่มาวันนี้ดูเจตนาด้วย มาถามผมว่าทำไมไม่คุยกัน และต่อมามีการไปพาดพิงว่า ผมไม่ยอมคุย ผมขอยืนยันว่าใครพูดแบบนั้น “ไม่จริง” และขอบคุณนายองอาจ นางเจิมมาศ น.ส.วทันยา พยายามพูดว่าคุยกันเถอะ แต่ได้รับการปฏิเสธ ผมก็ไม่กล้าจะไปสอบถามเหตุผล การปฏิเสธเป็นอย่างที่บอกมาหรือเปล่า แต่คำตอบชัดคือ “ไม่คุย” เพราะฉะนั้นวันนี้นายชวน เสนอชื่อผม ผมถามท่านรักษาการหัวหน้าพรรค ว่า “พักการประชุมแล้วคุยกับผมไหม”

จากนั้นนายเฉลิมชัยลุกขึ้นตอบรับเปิดห้องคุยสองคนกับนายอภิสิทธิ์ 10 นาทีว่ามีปัญหาอะไรพร้อมยอมรับว่าก่อนหน้านี้ปฏิเสธที่พูดคุยกับนายอภิสิทธิ นั่นเพราะไม่มีอะไรจะคุย แต่ชี้แจงว่าการพูดไม่เคยพูดส่งเดช มีที่มาที่ไปทั้งหมด พร้อมปิดห้องคุย 2 คน
หลังจากพักประชุมไป 10 นาที
นายอภิสิทธิ์กล่าวในที่ประชุมว่า เข้าใจตรงกันทุกอย่าง และท่านก็อธิบายว่า ท่านมีแนวทางจะเดินหน้าอย่างไร ผมก็อธิบายว่า ผมมีความคิดอย่างไร ซึ่งความจริงก็ได้ขยายความไปเยอะแล้วก่อนหน้านี้ ผมจึงเรียนอย่างนี้ครับว่า ได้เรียนกับท่านรักษาการหัวหน้าแล้วว่า ผมจะขอถอนตัวจากการเป็นผู้สมัคร ด้วยเหตุผลที่ท่านแจ้งให้ผมทราบ และด้วยเหตุผลเดียวกัน ก็ขอเรียนว่า ผมขอลาออกจากสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์
แต่ยืนยันกับทุกท่านที่นี่ ผมไม่มีพรรคอื่น ไม่ไปพรรคอื่น กรีดเลือดผมมาก็เป็นสีฟ้าจนวันตาย เป็นลูกพระแม่ธรณีที่จะเอาอุดมการณ์ประชาธิปัตย์รับใช้บ้านเมืองต่อไป วันข้างหน้าถ้าในพรรคคิดว่าผมจะเป็นประโยชน์มาช่วยได้ ผมก็คงไม่ปฏิเสธ แต่วันนี้เพื่อให้ท่านที่มีสถานะ และจะมีอำนาจในการบริหารต่อไป ทำงานด้วยความสบายใจ ทำงานตามแนวทางอย่างเต็มที่ ไม่ต้องหวาดระแวงเรื่องผม เรื่องใคร ใดๆ ทั้งสิ้น ก็ขออนุญาตที่จะลาออก
แล้วก็ขอถือโอกาสนี้ขอบคุณเพื่อนๆ ทุกคนทั้งในห้องนี้ และไม่ได้อยู่ในห้องนี้ และเจ้าหน้าที่ของพรรคทุกคนที่ได้ทำงานและให้การสนับสนุนผมอย่างดีตลอดมา ผมมีแต่ความปรารถนาดีต่อพรรค และก็หวังว่าผู้บริหารชุดใหม่ จะสามารถทำงานได้สำเร็จ ตามที่ท่านรักษาการหัวหน้าได้แจ้งกับผมเมื่อสักครู่ครับ ขอบคุณครับ