27 สิงหาคม 2562 ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้เบิกตัว นายโจฮันเนส เพทรุส มาเรีย ฟานลาร์ โฮเวน อายุ 59 ปี ชาวเนเธอร์แลนด์ จากเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร มายังศาลอาญา และนางมิ่งขวัญ ฟาน ลาร์โฮเวน หรือ นางมิ่งขวัญ แก่นอินทร์ อายุ 37 ปี ภรรยาชาวไทย จากทัณฑสถานหญิงกลาง เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร 2 สามีภรรยาจำเลยในคดีฟอกเงิน
เพื่อฟังคำพิพากษาฎีกาคดีฟอกเงิน อ.3423/57 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 3 เป็นโจทก์ฟ้อง นายโจฮันเนส และนางมิ่งขวัญ ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐานร่วมกันฟอกเงิน ซึ่งได้มาจากการกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติดประเภทกัญชา เหตุเกิดที่ ต.ห้วยใหญ่ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี และที่อื่นเกี่ยวพันกัน โจทก์จึงขอให้ศาลพิพากษาจำเลยทั้งสอง ตามความผิด ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 3, 5, 6, 7 และ 60 ความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ. 2556
คดีนี้จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ ต่อสู้คดีมาโดยตลอด สำหรับคดีนี้ทางตำรวจได้บุกเข้าจับกุมบุคคลทั้งสองได้ที่บ้านพักบนเนื้อที่ 2 ไร่เศษ ในสนามกอล์ฟแห่งหนึ่ง อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ตรวจยึดทรัพย์สินต่าง ๆ ที่ได้จากการฟอกเงินมูลค่ากว่า 150 ล้านบาท จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นสั่งจำคุก นายโจฮันเนส 103 ปี ส่วน นางมิ่งขวัญจำคุก 18 ปี ลดโทษให้ 1ใน 3 คงจำคุกจำเลยทั้งสอง 68 ปี 8 เดือน และ 12 ปี ตามลำดับ ต่อมาศาลอุทธรณ์ พิพากษาแก้เหลือจำคุก นายโจฮันเนส 75 ปี นางมิ่งขวัญ 11 ปี ลดโทษ 1ใน 3 เหลือจำคุก จำเลยทั้งสอง 50 ปี และ 7 ปี 4 เดือน อย่างไรก็ตามความผิด ฐานฟอกเงินจำคุกได้ไม่เกิน 20 ปี คงจำคุก นายโจฮันเนสไว้ 20 ปี
ต่อมาจำเลยทั้งสองได้ยื่นฎีกาสู้คดี เมื่อถึงเวลาศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่าคดีนี้อัยการสูงสุดมีอำนาจฟ้องและฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม ข้อเท็จจริงฟังได้ตามชั้นพิจารณาของศาลล่าง แต่มีประเด็นต้องพิจารณาว่าจำเลยร่วมกันกระทำผิด และจำเลยที่ 1 กระทำผิด 28 กระทง หรือไม่เห็นว่า จำเลยมีเจตนาลักลอบโอนเงินที่ได้มาจากการค้ายาเสพติด(กัญชา)จากต่างประเทศเข้ามาในประเทศไทยรวม 15 ครั้ง ด้วยวิธีโอนเงินจากเยอรมัน ลักเซมเบิรก สิงคโปร์ เข้าธนาคารกสิกรไทยสาขาพัทยาแล้วถอนเงินออกไป 28 ครั้ง เพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์กับสังหาริมทรัพย์เพื่อเปลี่ยนสภาพทรัพย์สินเพื่อซุกซ่อนปกปิดแหล่งที่มาเป็นการอำพรางการได้มาของเงินจากการค้ายาเสพติด แม้จะมีการถอนเงินออก 28 ครั้ง แต่ก็เป็นเจตนาเดียวกันกับการโอนเงินมา15ครั้งในตอนแรก การทำผิดหาเป็นการโอนเงินมารวม 28 ครั้ง ตามที่โจทก์ยื่นฎีกาไม่ จึงฟังว่าจำเลยผิดฐานโอนเงินมา 15 ครั้ง ที่ศาลอุทธรณ์ลงโทษมานั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์