นายชลัยสิน โพธิเจริญ รองเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด เปิดเผยว่า กรณีชายฉกรรจ์อ้างเป็น ป.ป.ส.เอาปืนจ่อและใส่กุญแจมือตามที่ปรากฏในโลกโซเชียลนั้น สำนักงาน ป.ป.ส.ตรวจสอบแล้ว ยืนยันว่า ไม่ใช่เจ้าพนักงาน ป.ป.ส.ในสังกัดของ สำนักงาน ป.ป.ส.แน่นอน ขณะนี้ สำนักงาน ป.ป.ส.ประสานไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ เพื่อร่วมติดตามตรวจสอบผู้แอบอ้างแล้วและจะดำเนินการติดตามตัวมาดำเนินคดีต่อไป
“ในกรณีที่มีการแอบอ้างและกระทำการเป็นเจ้าพนักงาน ป.ป.ส.ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 145 มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท และตามมาตรา 309 ผู้ใดข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อร่างกาย เสรีภาพ หรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจหรือของผู้อื่น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หากกระทำโดยมีอาวุธ หรือโดยร่วมกันตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และตามมาตรา 310 ผู้ใดหน่วงเหนี่ยว กักขังผู้อื่นให้ปราศจากเสรีภาพในร่างกาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และขอเตือนประชาชนให้ระมัดระวัง หากพบการแอบอ้างขอให้ตรวจสอบวิธีการใช้อำนาจหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ หรือสามารถแจ้งได้ที่สายด่วน ป.ป.ส. 1386 ตลอด 24 ชั่วโมง”
สำหรับการใช้อำนาจหน้าที่ของเจ้าพนักงาน ป.ป.ส.ในการเข้าไปในเคหสถาน หรือสถานที่ใดๆ เพื่อตรวจค้นบุคคล ของเจ้าพนักงาน ป.ป.ส.นั้น จะต้องอยู่ภายใต้ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามยาเสพติด พ.ศ.2519 โดยมีขั้นตอน 1.ก่อนเข้าตรวจค้นต้องแสดงหมายค้น และอ่านหมายแจ้งผู้ครอบครองเคหะสถาน 2.ในกรณีที่ไม่มีหมายค้นจะดำเนินการได้ต่อเมื่อ ต้องมีเหตุจำเป็นในการเข้าค้นว่ามีผู้ต้องหาหลบซ่อนอยู่มียาเสพติดซุกซ่อนอยู่ ซึ่งไม่สามารถขอหมายค้นจากศาลได้ทัน เพราะผู้กระทำผิดจะหลบหนี หรือมีการโยกย้ายยาเสพติดหรือทรัพย์สินนั้น โดยเจ้าพนักงานต้องแสดงบัตรประจำตัวเจ้าพนักงาน ป.ป.ส.ต่อเจ้าของหรือผู้ครอบครองเคหะสถานนั้นด้วย 3.การตรวจค้นต้องแสดงความบริสุทธิ์ใจ โดยการให้ผู้ครอบครองเคหสถานร่วมในการตรวจค้น 4.เมื่อทำการตรวจค้นเรียบร้อยแล้วต้องบันทึกผลการตรวจค้นและเหตุในการตรวจค้นเป็นหนังสือไว้ให้แก่ผู้ครอบครองเคหสถานด้วย รวมถึงรายงานต่อเลขาธิการ ป.ป.ส.ให้ทราบภายในเวลา 15 วัน