ตำรวจ กก.5 บก.ป จับสาวประเภทสอง ข้อหา “ฉ้อโกงประชาชน” หลังตั้งตัวเป็นเจ้าสำนักปฏิบัติธรรม อ้างตนเป็นเจ้าหญิงแห่งเมืองแก้ว หลอกลวงเหยื่อมีฐานะ 3 รายให้หลงเชื่อ ร่วมสร้างสำนักปฏิบัติธรรม ที่กาญจนบุรี สูญกว่า 60ล้านบาท
วันนี้ ( 27 ก.พ.) เมื่อเวลา 11.30 น. ที่ กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) พล.ต.ต.สุทิน ทรัพย์พ่วง ผู้บังคับการปราบปราม (ผบก.ป.) พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.5 บก.ป. แถบงผลการจับกุม นายอาทิตย์ตยา แสนยาธรรมโฆษ อายุ 34 ปี (สาวประเภทสอง) ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดกาญจนบุรี ที่ 9/2560 ลงวันที่ 12 มกราคม 2560 ในข้อหา “ฉ้อโกงประชาชน” หลังมีพฤติการณ์ตั้งตัวเป็นเจ้าสำนักปฏิบัติธรรมแห่งหนึ่งในจังหวัดกาญจนบุรี และอ้างตัวเป็นเจ้าหญิง แห่งเมืองแก้ว หลอกลวงประชาชนให้หลงเชื่อร่วมบริจาคเงินสร้างสำนักปฏิบัติธรรม มีผู้เสียหาย 3 ราย มูลค่ารวมกว่า 60 ล้านบาท
โดยพลตำรวจตรีสุทิน ทรัพย์พ่วง ผู้บังคับการกองปราบปราม ระบุว่า ผู้ต้องหาอ้างตัวเป็นเจ้าหญิงแห่งเมืองแก้ว ชักชวนเหยื่อที่มีฐานะร่ำรวยให้เข้ามาปฏิบัติธรรมที่สำนักปฏิบัติธรรมจังหวัดกาญจนบุรี พร้อมตั้งกลุ่มไลน์มีสมาชิก 25 คนซึ่งส่วนใหญ่อยู่ต่างประเทศ เพื่อพูดคุยสอนธรรมมะในทางที่ผิด เช่น ชักชวนให้บริจาคเงินเป็นจำนวนมากๆ ตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป อ้างว่ายิ่งบริจาคมากจะได้กุศลมาก นอกจากนี้ยังคอยเล่าเรื่องปาฏิหาริย์ต่างๆ โดยดัดเสียงได้ทั้งเสียงผู้ชาย ผู้หญิง และเด็ก ทำให้มีผู้เสียหายหลายรายหลงเชื่อและบริจาคเงิน
หนึ่งในผู้เสียหายซึ่งอยู่ในสหรัฐอเมริกา เปิดเผยผ่านวีดีโอคอลว่า มีเพื่อนแนะนำให้รู้จักผู้ต้องหาเมื่อปี 2557 ซึ่งผู้ต้องหาอ้างตัวว่าเป็นราชินีเมืองแก้วสามารถติดต่อกับคนในเมืองแก้วได้ และสอนให้ตนหลงเชื่อว่าเป็นเจ้ากรรมนายเวรกันมาก่อน และให้แก้กรรมด้วยการบริจาคเงินจำนวนมาก ตนหลงเชื่อโอนเงินเข้าบัญชีผู้ต้องหารวมกว่า 49 ล้านบาท พร้อมระบุว่าที่ตนหลงเชื่อเพราะผู้ต้องหาเปลี่ยนเสียงได้หลายเสียง ก่อนมารู้ภายหลังว่าตนน่าจะถูกหลอกลวง เพราะให้เพื่อนมาทดสอบอิทธิฤทธิ์ แต่ผู้ต้องหาก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้ตามที่อวดอ้าง จึงรวมตัวกับผู้เสียหายรายอื่นมาแจ้งความดำเนินคดีกับผู้ต้องหา
เบื้องต้น ผู้ต้องหายังให้การภาคเสธ โดยอ้างว่าไม่ได้หลอกลวง แต่เป็นการชักชวนญาติพี่น้อง เพื่อนและคนรู้จักที่มีความศรัทธาเหมือนกันมารวมกลุ่มกันสร้างสำนักปฏิบัติธรรมที่จังหวัดกาญจนบุรี
พลตำรวจตรีสุทิน ระบุว่าได้แจ้งข้อหาฉ้อโกงก่อนดำเนินคดีตามกฎหมาย นอกจากนี้อยู่ระหว่างขยายผลถึงผู้ร่วมขบวนการ และเร่งตรวจสอบสถานที่ตั้งสำนักปฏิบัติธรรมว่าผิดกฎหมายหรือไม่ พร้อมฝากเตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อบุคคลที่แอบอ้างเป็นร่างทรงมีอิทธิฤทธิ์ เพราะอาจเป็นเหยื่อถูกหลอกหลวงได้