ศาลรธน. รับคำร้อง 40 สว. มติเสียง 5 ต่อ 4 ยื่นถอด ‘เศรษฐา’ ปมตั้ง ‘พิชิต’ เป็นรมต. แต่ไม่ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ – ส่วนปม ‘พิชิต’ ไม่รับคำร้อง
ในวันนี้ (23 พ.ค. 67) ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาคำร้อง 40 สว. ยื่นขอวินิจฉัยความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีหรือไม่ เนื่องจากนายพิชิต ชื่นบาน ลาออกจากการเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เนื่องจากขาดคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญ เพราะเคยถูกลงโทษจำคุกฐานละเมิดอำนาจศาล เมื่อปี 2551
ทั้งนี้คำร้องดังกล่าว ยังขอให้ศาลวินิจฉัยความเป็นรัฐมนตรี ของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีด้วย เพราะเป็นผู้เสนอชื่อ นายพิชิต และขอให้ศาลสั่งให้นายกรัฐมนตรี หยุดปฏิบัติหน้าที่เป็นการชั่วคราว
ซึ่งแม้ว่านายพิชิตจะยื่นลาออกไปในวันที่ 21 พ.ค. ที่ผ่านมา แต่ก็ยังมีความเป็นไปได้หลายทาง ได้แก่ ศาลไม่รับคำร้อง, ศาลรับคำร้องวินิจฉัยทั้งนาย พิชิต และ นายเศรษฐา , ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องไว้วินิจฉัย แม้ พิชิต ชิงลาออก และศาลรับคำร้องไว้วินิจฉัย กรณีเศรษฐาคนเดียว เหตุพิชิตประกาศลาออกแล้ว
หากศาลเลือกรับคำร้องวินิจฉัย ขั้นต่อมาคือต้องพิจารณาสั่งให้นาย เศรษฐา ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ หากสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่จริง ต้องตั้งรองนายกฯ ขึ้นมารักษาการเอาไว้ก่อนจนกว่าศาลจะมีคำวินิจฉัย และหากศาลตัดสินว่าผิดจริง ในการโหวตเลือกนายกฯ คนใหม่ โดยไม่ต้องอาศัยเสียงจาก 250 สว.อีกต่อไป เพราะหมดวาระแล้ว สว.ชุดปัจจุบันหมดวาระการดำรงตำแหน่งไปแล้ว
ขณะเดียวกัน นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตคณะกรรมการการเลือกตั้ง ได้มีการโพสต์ข้อความผ่าน Facebook สมชัย ศรีสุทธิยากร โดยระบุว่า ลาออกแล้วจบไหม
ในใจของคนลาออกและคนที่อยากให้เขาลาออกคงอยู่ที่ ลาออกแล้วจบ ตัดไฟต้นลม ศาลจะได้ไม่รับคำร้องของ 40 สว. เศรษฐาก็ไม่เสี่ยงถูกสั่งให้ยุติปฏิบัติหน้าที่ และไม่เสี่ยงถูกวินิจฉัยให้สิ้นสุดการเป็นนายกรัฐมนตรี เพียงแต่ไฟที่ดับนั้นเป็นไฟต้นลม หรือเป็นไฟลามทุ่งไปถึงไหนต่อไหนแล้ว สิ่งที่เป็นประโยชน์จากกรณีการลาออกของคุณพิชิต เห็นได้ชัดว่ามีประการเดียว คือ ศาลไม่ต้องสั่งให้ยุติปฏิบัติหน้าที่ เพราะเจ้าตัวลาออกไปแล้ว แต่คำร้องและคำขออื่น ๆ ยังคงมีเช่นเดิม
- คำร้องขอให้ความเป็นรัฐมนตรีของคุณเศรษฐา สิ้นสุดลง เนื่องจากทูลเกล้า ฯ แต่งตั้งคนที่รู้หรือควรจะรู้ว่ามีลักษณะต้องห้าม
- คำขอให้ศาลสั่งคุณเศรษฐา ยุติปฏิบัติหน้าที่เป็นการชั่วคราว จนกว่า ศาลจะมีคำวินิจฉัย ก็ยังคงอยู่
- คำร้อง ให้วินิจฉัยเกี่ยวกับคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของคุณพิชิต ในประเด็นความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์และจริยธรรม ก็ยังคงอยู่
-ทั้งสามประเด็น ยังเป็นเรื่องที่ต้องลุ้นในวันที่ 23 พ.ค. ว่า ศาลจะรับคำร้องหรือไม่ ภาพกำปั้นที่ชูตอนเช้า กับภาพสองมือที่ชูหนังสือลาออกตอนบ่าย จะเห็นใบหน้าของพิชิตที่ยิ้มแย้มทั้งสองกรณี เพราะคนที่ต้องระทึกใจต่อจากนี้ คือ เศรษฐา ทวีสิน ไม่ใช่พิชิต เพราะพิชิต ชื่นบานไปแล้ว
ล่าสุด วันนี้ (23 พ.ค. 67) เวลา 12.05 น. ศาลรัฐธรรมนูญ ได้เปิดเผยการประชุมปรึกษาคดีสำคัญ กรณี 40 สว.เข้าชื่อร้องต่อนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภา ขอให้ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยความเป็นรัฐมนตรีของนายเศรษฐา ทวีสิน ผู้ถูกร้องที่ 1 และนายพิชิต ชื่นบาน ผู้ถูกร้องที่ 2 สิ้นสุดลงเฉพาะตัว ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) (5) หรือไม่
ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาข้อเท็จจริงตามคำร้องและเอกสารประกอบคำร้องแล้วเห็นว่า กรณีเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 วรรคหนึ่ง และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2561 มาตรา 7 (9) ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเสียงข้างมาก (6 ต่อ 3) ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างน้อย นายนครินทร์ เมฆไตรรัตน์ นายอุดม รัฐอมฤต และนายสุเมธรอยกุลเจริญ มีคำสั่งรับคำร้องผู้ถูกร้องที่ 1 ไว้พิจารณา และให้ผู้ถูกร้องที่ 1 ยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาต่อ
ศาลรัฐธรรมนูญภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้รับสำเนาคำร้องตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2561 มาตรา 54 สำหรับกรณีของผู้ถูกร้องที่ 2 ได้มีคำร้องของผู้ถูกร้องที่ 2 ลงวันที่ 23 พฤษภาคม 2567 แจ้งว่า เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2567 ผู้ถูกร้องที่ 2 ได้ลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีแล้ว
ศาลพิจารณาแล้ว เห็นว่าเมื่อความเป็นรัฐมนตรี ของผู้ถูกร้องที่ 2 สิ้นสุดลงเฉพาะตัว ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรคหนึ่ง (2) กรณีไม่มีเหตุที่จะต้องวินิจฉัยคดีต่อไปตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 51 ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเสียงข้างมาก (8 ต่อ 1)(ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างน้อย นายอุดม สิทธิวิรัชธรรม) มีคำสั่งไม่รับคำร้องเฉพาะส่วนของผู้ถูกร้องที่ 2 ไว้พิจารณาวินิจฉัย
ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณากรณีขอให้ผู้ถูกร้องที่ 1 หยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 82 วรรคสอง แล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงตามคำร้องและเอกสารประกอบคำร้อง ในชั้นนี้ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเสียงข้างมาก (5 ต่อ 4) (ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างน้อย นายปัญญา อุดชาชน นายอุดม สิทธิวิรัชธรรม นายวิรุฬห์ แสงเทียน และนายจิรนิติ หะวานนท์) ไม่สั่งให้ผู้ถูกร้องที่ 1 หยุดปฏิบัติหน้าที่แจ้งให้คู่กรณีทราบ
