นายกลินท์ สารสิน ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน หรือ กกร. เปิดเผยว่า กกร.มีมติปรับลดตัวเลขกรอบประมาณการเศรษฐกิจปีนี้ ใหม่ โดยปรับลดอัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) เป็น ติดลบ 9%ถึง ติดลบ 7% จากเดิม ติดลบ 8% ถึง ติดลบ 5% การส่งออกติดลบเป็น 12% ถึง ติดลบ 10% จากเดิม ติดลบ 10% ถึงติดลบ 7% ขณะที่อัตราเงินเฟ้อคงเดิมที่ ติดลบ 1.5% ถึงติดลบ 1% เพราะประเมินว่าเศรษฐกิจไทยยังขาดแรงขับเคลื่อนที่สำคัญๆ จากภาคการท่องเที่ยวและการส่งออก เพราะได้รับผลกระทบจากโควิด-19
โดย พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี แจ้งว่าจะเชิญภาคเอกชนซึ่งรวมถึง กกร. ไปหารือแนวทางการฟื้นฟูเศรษฐกิจ ซึ่งเอกชนได้เสนอให้จัดตั้งคณะกรรมการฟื้นฟูเศรษฐกิจ เหมือนกับศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. ล่าสุด นายกรัฐมนตรี ก็ได้เห็นขอบในหลักการแล้ว และ กกร.จะได้ตั้งคณะทำงานร่วมกับสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย สภาธุรกิจตลาดทุนไทย เพื่อร่วมกันจัดทำแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจ เสนอรัฐบาลในระยะต่อไป
นอกจากนี้ คณะกรรมการปฏิรูปเศรษฐกิจ จะผลักดันแผนงานต่าง ๆ รวม 4 เรื่องเพื่อให้เกิดผลได้ผลเกิดขึ้นจริง ๆ อาทิ การส่งเสริมและพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ, การยกระดับการเกษตรที่มีมูลค่าสูง ทั้งนี้ เมื่อได้ข้อสรุปแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจดังกล่าวแล้ว จะนำไปหารือและเสนอให้มีมาตรการ ช่วยเหลือจากทีมเศรษฐกิจชุดใหม่ต่อไป ล่าสุดได้หารือกับหอการค้าญี่ปุ่น ซึ่งได้ระบุถึงนักลงทุนญี่ปุ่น ต้องการเดินทางมายังประเทศไทยรวม 10,000 คน แต่ติดปัญหาโรงแรม ที่พร้อมเป็นสถานกักตัวทางเลือก (ASQ) ยังมีไม่เพียงพอ และยังมีนักลงทุนจากไต้หวัน เยอรมันและจีน ซึ่งสนใจเดินทางมาไทยเช่นกัน
นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานส.อ.ท. เปิดเผยว่า ภาคเอกชนเห็นว่าโควิด-19มีผลกระทบยาวนานกว่าที่คิด และยังคงการกังวลระบาดรอบ 2 ดังนั้นเห็นว่ามาตรการเยียวยาต่าง ๆ ของรัฐบาลที่ได้ดำเนินการและจะทยอยหมดลงในเดือน ส.ค.-ต.ค. ทั้งมาตรการยืดชำระหนี้ มาตรการด้านภาษี มาตรการด้านแรงงาน ฯลฯ จึงเห็นว่ารัฐบาลควรต่ออายุไปจนถึงสิ้นปี เพื่อรักษาระดับการจ้างงาน และให้ธุรกิจยังคงดำเนินการต่อไปได้