เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2563 นาง ลดาวัลลิ์ วงศ์ศรีวงศ์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงานและผู้ก่อตั้งว่าที่พรรคเสมอภาค กล่าวถึงการรับฟังปัญหาความเดือดร้อนของผู้ประกอบการ SMEs จากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 อย่างไม่ทันตั้งตัว ว่า ทำให้ขาดสภาพคล่องอย่างรุนแรง สาเหตุเพราะขาดรายได้จากนโยบายปิดเมืองของรัฐบาล และมีภาระรายจ่ายอย่างต่อเนื่อง จากค่าเช่าสถานที่ ค่าจ้างพนักงาน ค่าดอกเบี้ยเงินกู้ ฯลฯ อีกทั้งยังไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุน ตามมาตรการช่วยเหลือของภาครัฐได้ เพราะขาดคุณสมบัติบางประการ
ทั้งนี้ ยังมีปัญหาความล่าช้าของการอนุมัติสินเชื่อ ซึ่งใช้เวลาขั้นต่ำ 3 เดือน หลายธนาคารได้ช่วยแก้ไขปัญหาเบื้องต้นด้วยการให้สินเชื่อส่วนบุคคลแก่ผู้ประกอบการ ซึ่งมีข้อดีคืออนุมัติเร็วกว่า แต่มีข้อเสียคืออัตราดอกเบี้ยสูงและวงเงินกู้ต่ำ โดยขณะนี้ธนาคารพาณิชย์ถือเงินสดเป็นจำนวนมาก แต่การปล่อยกู้นั้นจำเป็นต้องเพิ่มความเข้มงวด เพื่อรักษา NPL ให้ไม่เกินเพดาน 3% ประกอบกับธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศห้ามธนาคารพาณิชย์ซื้อหุ้นคืน และห้ามจ่ายเงินปันผลเป็นการชั่วคราว เพื่อสำรองเงินไว้ใช้ช่วยเหลือภาคเศรษฐกิจ
นางลดาวัลลิ์ กล่าวอีกว่า ผู้ประกอบการ SMEs จึงเสนอความเห็นให้พิจารณาว่า ควรให้ธนาคารพาณิชย์นำงบประมาณ CSR หรือ งบฯ ที่ใช้ เพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมขององค์กรมาใช้ โดยตั้งเป็นโครงการช่วยเหลือผู้ประกอบการด้วยเหตุผล ดังนี้ 1. นโยบายปิดเมือง และการหดตัวด้านการท่องเที่ยว ทำให้ธรรมชาติฟื้นฟูขึ้นมาในระดับหนึ่งในระยะสั้นนี้ จึงไม่มีความจำเป็นต้องรีบนำงบฯ CSR ไปปลูกต้นไม้หรือฟื้นฟูธรรมชาติ 2. งบฯ CSR คือ งบฯ ให้เปล่าจึงสามารถแก้ปัญหาผู้ประกอบการที่ติดแบล็คลิสต์ หรือเพิ่งติดแบล็คลิสต์เพราะขาดสภาพคล่องช่วงวิกฤตไวรัสโควิด
- งบฯ CSR สามารถอนุมัติให้ผู้ประกอบการได้เร็วกว่า 4. ผู้ประกอบการ ก็คือลูกค้าของธนาคาร ถ้าลูกค้าส่วนใหญ่ล้มกันหมดธนาคารก็ไปไม่รอดเช่นกัน 5. การจ้างงานของ SMEs มีทั้งสิ้น 14 ล้านคน ดังนั้น การช่วยเหลือ SMEs จะสามารถช่วยคนไทย 14 ล้านคน ไม่ให้ว่างงานและยังเป็นการช่วยธุรกิจในซัพพลายเชนด้วยเช่นกัน