สืบเนื่องจากประเด็น “ขึ้นค่าไฟ“ เมื่อวันที่ 29 พ.ย. 2566 ที่ผ่านมา และมีมติเห็นชอบให้ปรับค่าเอฟทีขายปลีก สำหรับเรียกเก็บในงวดเดือน ม.ค. – เม.ย. 2567 เท่ากับ 89.55 สตางค์ต่อหน่วย ส่งผลให้อัตราค่าไฟฟ้าเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 69.07 สตางค์ต่อหน่วย เมื่อรวมกับค่าไฟฟ้าฐานที่ 3.78 บาทต่อหน่วย ทำให้ค่าไฟฟ้าเรียกเก็บของผู้ใช้ไฟฟ้าทุกประเภทเฉลี่ยรวมอยู่ที่ 4.68 บาทต่อหน่วย (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
เรื่องมีการสอบถามเรื่องนี้ได้ยัง นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.การคลัง ถึงกับร้องโอ้ย บอกรับไม่ได้ แต่ยอมรับอาจจะต้องปรับขึ้นบ้าง แต่ไม่ถึงจำนวนนี้แน่นอน ตนในฐานะประธานจะต้องมีการเรียกประชุม ไม่ยอมหรอกครับ
ส่วนจะมีมาตรการลดค่าไฟฟ้าต่อเนื่องหรือไม่ นายกฯ บอกว่า ต้องไปดูก่อน เพราะมีเรื่องของงบประมาณด้วย ก็ยอมรับว่า มีแนวโน้มจะปรับขึ้นจาก 3 บาท 99 สตางค์ แต่ไม่ถึง 4 บาท 68 สตางค์แน่นอน
ด้าน นายวรภพ วิริยะโรจน์ สส.พรรคก้าวไกล และรองประธานคณะกรรมาธิการศึกษาการจัดทำและบริหารจัดการงบประมาณ สภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงกรณีการขึ้นค่าไฟในช่วงต้นปีหน้า เดือนมกราคม-เมษายน ที่อาจส่งผลให้ค่าไฟ เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 69 สตางค์ต่อหน่วย ซึ่งเป็นการขึ้นหลังจากเพิ่งประกาศลดไป โดยนายวรภพ ระบุว่า ช่วงที่รัฐบาลเข้ามาทำงานก็ประกาศว่าเป็นผลงาน ที่ลดไป 46 สตางค์ต่อหน่วย แต่ความจริงเป็นการเลื่อนการจ่ายหนี้ ที่ค้างชำระ กฟผ. ออกไป จึงถือว่าเป็นโปรโมชั่น ลดได้แค่ 4 เดือน
ทั้งนี้ ต้นตอโครงสร้าง ที่รัฐบาลยังไม่ได้แก้ไข และมีความเกี่ยวข้องกับกลุ่มทุนต่างๆ จึงกลายเป็นความจริงที่ว่า ประชาชนต้องมาแบกรับค่าไฟเหมือนเดิม โดยเฉพาะในเดือนมีนาคมถึงเมษายนที่เป็นช่วงหน้าร้อน แต่ค่าไฟกลับแพงขึ้น ประชาชนต้องมารับผลกระทบ เราจึงไม่เห็นด้วย ที่รัฐบาลจะมองว่า การลดค่าไฟเป็นโปรโมชั่นสั้นๆ แต่ต้นต่อไม่ได้มีการแก้ไขเลย โดยเฉพาะเรื่องนโยบายก๊าซธรรมชาติ ซึ่งพรรคแกนนำรัฐบาลเองก็เคยหาเสียงเรื่องนี้ไว้ รวมถึงพรรคก้าวไกลเคยเสนอว่า ก๊าซธรรมชาติจากอ่าวไทย จะมีราคาถูกกว่า ควรนำมาเฉลี่ยเป็นต้นทุน ให้กับโรงไฟฟ้า เพื่อให้ค่าไฟของประชาชนถูกลง แต่ตอนนี้ประชาชน ต้องมาแบกรับต้นทุน ค่านำเข้า ก๊าซ LNG จากต่างประเทศทั้งหมด ซึ่งนี่คือต้นตอของโครงสร้างที่ไม่เป็นธรรม
นายวรภพ ยังกล่าวถึงปัญหาอีกส่วนหนึ่งว่า โรงไฟฟ้าที่มีกำลังผลิตมากเกิน เกือบ 60% ที่ไม่ได้เดินเครื่อง แต่รัฐบาลไม่ได้ริเริ่มแก้ไขสัญญาที่ไม่เป็นธรรมส่วนนี้เลย จึงต้องเสียค่าความพร้อมจ่ายให้กับโรงไฟฟ้าเหล่านี้ ซ้ำรัฐบาลยังสานต่อการรับซื้อพลังงานไฟฟ้าเพิ่ม ต่อเนื่องจากรัฐบาลที่แล้ว ที่ซื้อพลังงานหมุนเวียน 5,200 เมกะวัตต์ แม้จะอ้างว่าเป็นพลังงานหมุนเวียน แต่ศาลปกครองก็ได้มีคำสั่งทุเลาชั่วคราวออกมาแล้ว เพราะกระบวนการรับซื้อไม่โปร่งใสไม่เป็นธรรม อาจสร้างความเสียหายให้กับประเทศได้ แต่รัฐบาลกลับไม่มีทีท่าที่จะเปลี่ยนหรือทบทวน และเรื่องนี้ยังไม่มีคำตอบจากนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบโดยตรง
เมื่อได้สอบถามเพิ่มเติม ไปยัง กฟผ. ว่า โครงการจัดซื้อพลังงานดังกล่าว จะเริ่มขึ้นในเดือนเมษายนนี้ นายกรัฐมนตรีจึงมีเวลาที่จะทบทวนโครงการนี้ เพื่อให้ประชาชนไม่ต้องเสียค่าไฟแพงบนความร่ำรวยของเจ้าสัวบางคน ไม่ควรสานต่อสิ่งที่รัฐบาลชุดที่แล้วทำมา จึงอาจเป็นเหมือนส่วนที่หัวหน้าพรรคก้าวไกลเคยพูดว่า นี่คือส่วนต่อขยายของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์
เมื่อถามว่าหาก รัฐบาลเลือกใช้วิธีการ ยืดหนี้ กฟผ. เพื่อตรึงราคาค่าไฟจะคุ้มค่ากับ งบประมาณที่ต้องเสียไปหรือไม่ นายวรภพ กล่าวว่า อาจชะลอราคาค่าไฟได้ชั่วคราว แต่ก็จะกลับมาเป็นเหมือนเดิม เพราะเป็นเหมือนมาตรการระยะสั้น ที่ต้องมาลุ้นกันทุกสี่เดือน