เมื่อไม่นานมานี้ มีการเปิดเผยถึงระบบภูมิคุ้มกันของ อัลปากา จาก คณะนักวิจัยจากหน่วยงานวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์ของออสเตรเลีย ว่าระบบภูมิคุ้มกันพิเศษของอัลปากานี้ อาจเป็นกุญแจสำคัญในการพัฒนาการรักษาโรคโควิด19
เมื่อวันที่ 11 ส.ค. 63 องค์การวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งออสเตรเลีย (ANSTO) และสถาบันวอลเตอร์ แอนด์ อีไลซา ฮอลล์ (WEHI) เปิดเผยว่าสถาบันทั้งสองกำลังศึกษาแอนติบอดีของอัลปากาเพื่อค้นหาวิธีรักษาโควิด19
นักวิจัยได้สร้างภูมิคุ้มกันให้กับอัลปากาโดยใช้ โปรตีนหนาม (spike protein) จากเชื้อโควิด19 ซึ่งเป็นส่วนที่ไวรัสใช้จับกับเซลล์ร่างกายและทำให้เกิดการติดเชื้อ จากนั้นจึงสามารถแยกนาโนบอดี (nanobody) ซึ่งเป็นส่วนประกอบหนึ่งของแอนติบอดีที่จะไปจับกับไวรัสจนไวรัสไม่สามารถจับกับเซลล์ร่างกายได้ ก่อนที่นักวิจัยจะทำการคัดกรองนาโนบอดีเพื่อหาความสามารถในการยับยั้งไวรัส
นิวซีแลนด์ ล็อกดาวน์อีกครั้ง!หลังพบป่วย โควิด19 ไม่ทราบแหล่งเชื้อ
จากนั้น นักวิจัยได้ใช้ระบบลำเลียงแสงไมโครโฟกัส คริสตัลโลกราฟี หรือเอ็มเอ็กซ์2 (MX2) ที่ศูนย์ซินโครตรอนออสเตรเลีย (Australian Synchrotron) ของ ANSTO เพื่อศึกษาว่าระบบภูมิคุ้มกันของอัลปากต่อสู้กับการติดเชื้อโรคโควิด19 ได้อย่างไร
อนามัยโลก เผยติดต่อใกล้ชิด รัสเซีย ตรวจสอบคุณภาพ วัคซีนโควิด 19
ไมเคิล เจมส์ นักวิทยาศาสตร์วิจัยหลักอาวุโสของศูนย์ฯ ระบุว่าซินโครตรอนซึ่งเป็นครื่องเร่งอนุภาคชนิดหนึ่ง เคยถูกนำมาใช้เพื่อศึกษาโปรตีนของมนุษย์ที่ทำให้เกิดการเพิ่มจำนวนของไวรัส (replication) ภายในเซลล์ต่างๆ และโครงสร้างของไวรัสที่ทำให้เกิดโรคโควิด19
อนุทิน ลุ้นวัคซีนโควิด-19 รัสเซียใช้ได้ผล เชื่อไทยไม่ตกขบวน
เจมส์เผยในแถลงการณ์ว่า “นับตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา เราได้ดำเนินโครงการเข้าถึงข้อมูลโรคโควิด19 แบบรวดเร็ว เพื่อช่วยให้คณะนักวิจัยชาวออสเตรเลียและนานาชาติสามารถไขโครงสร้างอะตอมของโปรตีนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ เรากำลังศึกษาโปรตีนต่างๆ ที่สามารถช่วยต่อสู้กับไวรัสหรือป้องกันการแพร่กระจายของไวรัสได้ ไม่ว่าจะด้วยตัวมันเอง หรือเมื่อไปผูกติดกับโมเลกุลชีวภาพหรือยาต้านไวรัสอื่นๆ ในการนี้ ระบบเอ็มเอ็กซ์2 อยู่ระหว่างการใช้งานเพื่อระบุโครงสร้างของนาโนบอดีที่ทำหน้าที่ยับยั้งเหล่านี้ ร่วมกับจุดสำคัญของโปรตีนหนามเพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับกลไกโครงสร้างของการยับยั้ง”
เจมส์ได้ทิ้งท้ายว่า “โครงสร้างเหล่านี้จะเผยข้อมูลล้ำค่าที่จะช่วยพัฒนาวิธีการรักษาโรคโควิด19 ด้วยแอนติบอดีต่อไป”