สภาสหราชอาณาจักร มีมติเสียงข้างมาก สนับสนุนกฎหมาย การออกจากสหภาพยุโรป ในวันที่ 31 ม.ค. นี้
เมื่อวันที่ 21 ธ.ค. สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ที่กรุงลอนดอน ประเทศสหราชอาณาจักร สภาสามัญมีมติเสียงข้างมาก 358 ต่อ 234 เสียง เพื่อรับรองกฎหมายการถอนตัวออกจากสหภาพยุโรป ( อียู ) ในวันที่ 31 ม.ค.นี้ ซึ่งผลการลงมติเป็นไปตามความคาดหมายของทุกฝ่าย จากการที่นายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร นำพรรคอนุรักษนิยมคว้าชัยชนะถล่มทลายในการเลือกตั้งทั่วไปก่อนกำหนด เมื่อวันที่ 12 ธ.ค. ที่ผ่านมา ด้วยการชูนโยบายหาเสียงหลักคือ จัดการเบร็กซิตให้เสร็จสิ้น
นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร กล่าวหลังการลงมติ ว่าสหราชอาณาจักรต้องทนทุกข์มาตลอด 3 ปีครึ่ง หลังการลงประชามติเมื่อเดือนมิ.ย.2559 แต่เมื่อผ่านพ้นสิ้นเดือนหน้าเบร็กซิตจะยุติ และสหราชอาณาจักรจะต้องก้าวไปข้างหน้าด้วยความราบรื่นและมีแต่เอกภาพในทุกด้านเท่านั้น ซึ่งจะเป็นการปรับเปลี่ยนนโยบายแทบทุกด้านของประเทศครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในรอบเกือบครึ่งศตวรรษ นับตั้งแต่สหราชอาณาจักรเข้าเป็นสมาชิกอียูเมื่อปี 2516
ด้านนายเจเรมี คอร์บิน ผู้นำฝ่ายค้านจากพรรคแรงงาน กล่าวว่า ยังมีหนทางที่ดีและเป็นธรรมกับทุกฝ่ายมากกว่านี้ ในการการันตีการออกจากอียูอย่างราบรื่น โดยวิจารณ์ว่ากฎหมายฉบับนี้เอื้อประโยชน์ให้กับธุรกิจขนาดใหญ่มากกว่า และเรียกร้องให้สมาชิกพรรคแรงงานออกเสียงคัดค้าน
อย่างไรก็ตาม สมาชิกพรรค 6 คนลงมติสนับสนุนกฎหมายฉบับนี้ ที่ระบุการห้ามขยายช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านหลังเบร็กซิตเกินปี 2563 หมายความว่าสหราชอาณาจักรมีเวลาเพียง 11 เดือนเท่านั้นหลังผ่านวันเบร็กซิต ในการเจรจาความสัมพันธ์ใหม่ กับอียู ทั้งในด้านการค้าและศุลกากร การเมือง และการเคลื่อนย้ายแรงงานระหว่างประเทศ นอกจากนั้น สหราชอาณาจักรต้องเจรจาข้อตกลงการค้าระดับทวิภาคีกับสหรัฐ ที่คอร์บินเตือนอาจทำให้รัฐบาลต้องลดมาตรฐานของตัวเอง
ขณะที่ นายชาร์ล มิเชล ประธานคณะมนตรียุโรป กล่าวเตือนความเร่งรีบของจอห์นสันในเรื่องเบร็กซิตว่า ไม่ว่าอย่างไรทุกฝ่ายต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบพื้นฐานของอียู ในการเจรจาความร่วมมือในอนาคต และย้ำว่าในทางทฤษฎีการเจรจาในช่วงเปลี่ยนผ่านก่อนที่ประเทศหนึ่งจะพ้นสถานภาพสมาชิกอียูอย่างเป็นทางการนั้น ใช้เวลานานหลายปี