โควิด19 – มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ซานฟรานซิสโก (University of California, San francisco) ได้เผยแพร่งานวิจัยเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ในเขตมิชชันของซานฟรานซิสโก ระบุว่า ช่วง 6 สัปดาห์แรก กลุ่มชาวลาตินผู้มีรายได้น้อยที่ต้องออกไปทำงานนอกบ้าน เป็นกลุ่มที่มีผู้ติดเชื้อสูงที่สุด
งานวิจัยครั้งนี้ เริ่มต้นจากการตรวจหาเชื้อโควิด-19 โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายแก่ผู้ที่อาศัยอยู่ในเขตมิชชันที่มีชาวละตินอาศัยอยู่อย่างหนาแน่น โดยทดสอบปฏิกิริยาลูกโซ่โพลีเมอเรส (PCR)และการทดสอบภูมิคุ้มกันน้ำเหลือง ซึ่งตรวจไปกว่า 3,953 คน
โดยพบว่าในช่วงเดือนเมษายน ซึ่งการระบาดอยู่ในภาวะตึงเครียด และมีมาตรการล็อกดาวน์ ทำให้กลุ่มผู้ติดเชื้อเป็นชาวลาตินที่ทำงานแนวหน้า และต้องออกมาทำงานนอกบ้าน ซึ่งการแพร่ระบาดในช่วงเดือนนี้นั้นต่างกับช่วงก่อนล็อคดาวน์ ที่ทุกคนมีโอกาสติดเชื้อได้ ไม่ว่าสถานะทางเศรษฐกิจจะเป็นเช่นไร หรือมีเชื้อชาติใด
งานวิจัยครั้งนี้จึงสะท้อนให้เห็นปัญหาความเหลื่อมล้ำ ที่ชี้ให้เห็นว่าปัจจัยด้านเชื้อชาติและเศรษฐกิจส่งผลกระทบต่อปัฐหาด้านสุขภาพอย่างไม่เท่าเทียม ภายใต้คำสั่งของซานฟรานซิสโกที่ให้ประชาชนนั้นกักตัวอยู่บ้าน อีกทั้งยังชี้ให้เห็นถึงสาเหตุที่กลุ่มชาวละตินติดเชื้อมากว่ากลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ แม้ว่าคำสั่งนี้จะช่วยลดผู้ติดเชื้อได้ในพื้นที่อื่นๆ แต่ไม่ใช่สำหรับชาวละตินกลุ่มนี้
โรคโควิด-19 ที่ระบาดในครั้งนี้ไม่ได้ทำให้เราเห็นถึงความเสมอภาคในแง่ที่ว่า มนุษย์คนใดก็สามารถเจ็บป่วยได้ แต่กลับลอกเปลือกความเหลื่อมล้ำในเมืองที่โครงสร้างทางสังคมห่างออกไปจากกันเรื่อยๆ อีกทั้งยังตอกย้ำให้เห็นว่ากลุ่มคนผู้มีรายได้น้อยนั้นถูกผลักให้รับภาระทั้งทางด้านสุขภาพและด้านเศราฐกิจมากกว่ากลุ่มอื่นๆ เช่น ความแออัดในที่อยู่อาสัย รายได้ที่ไม่เท่าเทียมขณะล็อกดาวน์ การเหยียดเชื้อชาติเชิงระบบเป็นต้น
ขอบคุณข้อมูลจาก : Xinhuathai