ในช่วงปี 2020 ถือเป็นปีที่ สถานการณ์โลก มีเหตุการณ์ และความเคลื่อนไหวในต่างประเทศมากมาย ตั้งแต่เรื่องการแพร่ระบาดของโควิด19 ที่ได้ระบาดไปทั่วโลก จนส่งกระทบในหลายๆด้าน ไปจนถึงการประท้วง และศึกการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ไบรท์ ทูเดย์ได้รวบรวม 10 ข่าวเด่นที่เกิดขึ้นรอบโลกในช่วงปี 2020
1.อิหร่าน-สหรัฐตึงเครียด หลังอิหร่านยิงขีปนาวุธตีฐานทัพสหรัฐฯ ล้างแค้นให้นายพลกัสเซม โซไลมานี
เมื่อวันที่ 8 ม.ค.กองทัพอิหร่านได้เปิดฉากยิงขีปนาวุธโจมตี ฐานทัพอากาศสหรัฐในจังหวัดอัล อันบาร์ ทางตะวันตกของอิรักเพื่อตอบโต้และล้างแค้น ที่สหรัฐสังหารนายพลกัสเซม โซไลมานี ผู้บัญชาการกองกำลังคุดส์ของอิหร่าน ตามคำสั่งของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งประธานาธิบดีทรัมป์อ้างว่านายพลโซไลมานีกำลังวางแผนโจมตีทูตและเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ในอิหร่าน
แม้ว่าเหตุโจมตีดังกล่าวจะไม่มีรายงานผู้เสียชีวิต แต่มีทหารสหรัฐฯบาดเจ็บจากเหตุโจมตีนี้ 110 นาย ทั้งนี้ เหตุการลอบสังหารนายพลโซไลมานี และการยิงขีปนาวุธตอบโต้ฐานทัพสหรัฐฯยิ่งทำให้ความสัมพันธ์ ที่ไม่ค่อยจะร่องรอยกันอยู่แล้วระหว่างสหรัฐฯและอิหร่านตึงเครียดมากขึ้นไปอีก ท่ามกลางความกังวลว่าเหตุการณ์นี้อาจนำไปสู่สงครามได้
2. เครื่องบินของสายการบินยูเครน อินเตอร์เนชั่นแนล ถูกขีปนาวุธยิงตก
สืบเนื่องจากกรณีที่กองทัพของอิหร่านเปิดฉากยิงขีปนาวุธโจมตีฐานทัพอากาศของสหรัฐฯ เพื่อเป็นการล้างแค้นให้กับนายพลโซไลมานี ในวันที่ 8 ม.ค. 63 ซึ่งเป็นวันเดียวกับเหตุยิงโจมตีฐานทัพ เครื่องบินโดยสารของสายการบินยูเครน อินเตอร์เนชั่นแนล เที่ยวบินพีเอส 752 เส้นทางบินจากกรุงเตหะรานไปยังกรุงเคียฟของยูเครนถูกขีปนาวุธยิงตก หลังขึ้นบินได้ไม่นาน ส่งผลให้ผู้โดยสารและลูกเรือ 176 คนเสียชีวิตยกลำ
เดิมทีรัฐบาลอิหร่านอิหร่านปฏิเสธว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุเครื่องบินตกดังกล่าว แต่จากการสอบสวนของหน่วยข่าวกรองจากบรรดาชาติตะวันตกต่างชี้ว่าเครื่องบินของสายการบินยูเครนถูกขีปนาวุธของอิหร่านยิงตก ซึ่งในเวลาต่อมาทางการอิหร่านก็ยอมรับว่าเครื่องบินถูกขีปนาวุธของกองทัพอิหร่านยิงตกจริง โดยอ้างว่าเครื่องบินมีการเคลื่อนไหวที่ดูน่าสงสัย ซึ่งอิหร่านได้แสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมกับได้สั่งการมีการสอบสวน และดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้อง
3. โควิด19 จากการระบาดใหญ่ สู่วิกฤตที่สะเทือนไปทั่วโลก
เมื่อช่วงเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา องค์การอนามัยโลกได้ประกาศยกระดับให้การแพร่ระบาดโควิด19เป็นการระบาดใหญ่(pandemic) หลังยอดผู้ติดเชื้อทั่วโลกเพิ่มสูงต่อเนื่อง นับตั้งแต่เริ่มแพร่ระบาดในเมืองอู่ฮั่นของจีน ตั้งแต่ช่วงปลายปี 2019 การแพร่ระบาดของโควิด19 ทำให้หลายประเทศต้องใช้มาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม และล็อคดาวน์ ผู้คนทั่วโลกต้องปรับตัวกับรูปแบบการใช้ชีวิตวิถีใหม่ หรือ (New normal) ทั้งการทำงานที่บ้าน การกักตัว การปิดเส้นทางการบินระหว่างประเทศ ไปจนถึงการงดจัดงานสังสรรค์ การแสดงคอนเสิร์ต ไปจนถึงการปิดโรงภาพยนตร์ ขณะที่หน้ากากอนามัยก็กลายเป็นสิ่งสำคัญเมื่อต้องออกนอกบ้าน
ขณะเดียวกันก็ผู้นำโลกอย่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ นายกรัฐมนตรีบอริส จอห์สัน ผู้นำอังกฤษ และประธานาธิบดีฌาอีร์ โบลโซนารู แห่งบราซิล ประกาศก็ติดเชื้อโควิด19ด้วย
4. โควิด19 พ่นพิษ ทำให้โอลิมปิก โตเกียว 2020 ต้องเลื่อนจัด
ผลพวงจากการแพร่ระบาดของโควิด19 ได้ส่งกระผลในหลายด้าน ซึ่งร่วมถึงการจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ซึ่งมีกรุงโตเกียวของญี่ปุ่นเป็นเจ้าภาพก็ได้รับผลกระทบไปด้วย โดยตามกำหนดเดิม กรุงโตเกียวจะจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกในช่วงเดือนก.ค. แต่เมื่อมีโควิด19 แพร่ระบาดก็ทำให้ทางการกรุงโตเกียวพิจารณาเลื่อนการจัดแข่งขันโอลิมปิกออกไปเป็นระหว่างวันที่ 13 ก.ค.- 8 .ส.ค.ในปี 2021 แทน
ทั้งนี้ การแข่งโอลิมปิก ที่กรุงโตเกียวก็ไม่ใช่มหกรรมการแข่งขันกีฬาระดับโลกรายการเดียวที่จ้องเลื่อนการแข่งขัน โดยในปีนี้ การแข่งขันเทนนิสวิลเบิลดัน การแข่งขันฟุตบอลยูฟ่ายูโร และเทนนิสยูเอสโอเพ่นก็เลื่อนการแข่งขันเช่นกัน
5. เหตุประท้วงการเสียชีวิตของจอร์จ ฟลอยด์ บานปลายเป็นเหตุจลาจล
จอร์จ ฟลอยด์ วัย 46 ปี ชายผิวสี ในเมืองมินนีแอโพลิส รัฐมินนิโซตาเสียชีวิต เมื่อ 25 พ.ค.63 ขณะที่ถูกตำรวจผิวขาวเข้าจับกุม การเสียชีวิตของเขาสร้างความโกรธแค้นไปทั่วสหรัฐฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีคลิปภาพขณะที่ตำรวจจับกุมนายจอร์จ ฟลอยด์ออกมา ซึ่งมีประโยคสุดท้ายของนายฟลอยด์ ที่บอกตำรวจว่า “ผมหายใจไม่ออก” ก็ยิ่งทำให้ประชาชนออกมาประท้วงต่อต้านการใช้ความรุนแรงของตำรวจ
เหตุประท้วงได้ลุกลามเป็นเหตุจลาจล สถานที่ราชการ และร้านค้าต่างๆถูกกลุ่มผู้ประท้วงบุกทำลาย มีการปะทะกันระหว่างกับกลุ่มผู้ประท้วงและตำรวจ โดยเหตุประท้วงการเสียชีวิตของนายจอร์จ ฟลอยด์ยังได้ลุกลามไปพื้นที่ทุกรัฐของสหรัฐ และยังลามไปยังในต่างประเทศด้วย ที่ต่างเรียกร้องให้ตำรวจยุติการใช้ความรุนแรงกับคนผิวสี และต่อต้านการเหยียดสีผิว
6. จีนออกกฎหมายความมั่นคง ห้ามฮ่องกงชุมนุมประท้วง
สภาประชาชนแห่งชาติจีนได้ออกกฎหมายความมั่นคงสำหรับฮ่องกง ซึ่งเป็นเขตครองพิเศษของจีน โดยกฎหมายดังกล่าวมีจุดประสงค์เพื่อป้องกันไม่ให้มีการแทรกแซงกิจการภายในของฮ่องกง ไม่ให้มีการปลุกปั่น ประท้วง ก่อการร้าย หรือบ่อนทำลายอันเป็นการสนับสนุนการแบ่งแยกดินแดนในฮ่องกง นอกจากนี้ กฎหมายดังกล่าวยังเปิดให้จีนเข้ามาควบคุม และจัดการในคดีที่เป็นภัยต่อความมั่นคง และจะมีการไต่สวนในศาลประชาชนสูงสุดของจีนด้วยโดยผู้ที่ฝ่าฝืนกฎหมายความมั่นคงนี้จะได้รับโทษสูงสุดจำคุกตลอดชีวิต
อย่างไรก็ดี บรรดาประเทศตะวันตกต่างมองว่ากฎหมายดังกล่าวเป็นการจำกัดสิทธิเสรีภาพในการแสดงออก และสิทธิ์ในการประท้วงของชาวฮ่องกง
7. ระเบิดขนาดใหญ่ เขย่ากรุงเบรุตของเลบานอน
เมื่อวันที่ 4 ส.ค. ที่ผ่านมาได้เกิดเหตุระเบิดขนาดใหญ่ ที่ท่าเรือในกรุงเบรุตของเลบานอน แรงระเบิดมีความรุนแรงเท่ากับ 1.1 กิโลตันของระเบิดทีเอ็นที พื้นที่โดยรอบพังเสียหาย นับเป็นเหตุระเบิดครั้งรุนแรงที่สุดของเลบานอน แรงระเบิดส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 204 ราย บาดเจ็บอีกกว่า 6,500 คน และมีชาวเลบานอนอีกราว 3 แสนคนที่ต้องไร้ที่อยู่อาศัย
จากการสอบสวนพบว่าเหตุระเบิดเกิดจากสารแอมโมเนียม ไนเตรท ปริมาณ 2,750 ตันภายในคลังสินค้าระเบิด ซึ่งสารดังกล่าวได้เก็บไว้ในตู้สินค้ามาเป็นเวลาถึง 6 ปี โดยไม่มีมาตรการดูแลความปลอดภัยใดๆ เหตุระเบิดดังกล่าวทำให้รัฐบาลเลบานอนต้องประกาศภาวะฉุกเฉินเป็นเวลา 2 สัปดาห์ ซึ่งในเวลาต่อมานายฮัสซัน ดิอาบ นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีทั้งคณะของเลบานอนประกาศลาออกจากตำแหน่งเพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อเหตุระเบิดครั้งนี้
8.โจ ไบเดน ผงาดขึ้นเป็นว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ หลังคว้าชัยเลือกตั้งเหนือทรัมป์
การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯได้เปิดฉากขึ้นเมื่อวันที่ 3 พ.ย. ที่ผ่านมา เป็นการชิงชัยระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จากพรรครีพลับลิกัน และนายโจ ไบเดน ผู้สมัครจากพรรคเดโมแครต ซึ่งปรากฎว่านายไบเดนสามารถเอาชนะผู้นำสหรัฐฯไปได้ โดยได้คะแนนคณะผู้เลือกตั้งไปได้ 306 ขณะที่ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ไป 232 คะแนน นอกจากนี้ นายไบเดนยังสร้างประวัติศาสตร์ด้วยการเป็นผู้สมัครเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯที่ได้คะแนนเสียงจากประชาชน หรือ Popular vote มากที่สุดถึงกว่า 81 ล้านเสียง
ขณะที่ประธานาธิบดีทรัมป์กลับไม่ยอมรับผลการนับคะแนนในรัฐที่เป็นสวิงสเตท ที่เขามีคะแนนตามหลัง พร้อมกับกล่าวหาว่าการเลือกตั้งครั้งนี้มีการทุจริต และยังยื่นเรื่องร้องเรียนต่อศาลเรียกร้องให้ผลการนับคะแนนเป็นโมฆะ แม้ว่าเขาไม่เคยแสดงหลักฐานสนับสนุนข้อกล่าวหาดังกล่าวก็ตาม แต่ศาลได้ปัดตกคำร้องของผู้นำสหรัฐฯเรียบร้อย
ทั้งนี้ นายไบเดน ว่าที่ประธานาธิบดีคนที่ 46 ของสหรัฐฯเตรียมเข้าพิธีสาบานตนรับตำแหน่ง ในวันที่ 20 ม.ค.64 นี้
8.ช็อคแฟนกีฬา โคบี้ ไบรอันต์ ประสบเหตุเฮลิคอปเตอร์ตกเสียชีวิต พร้อมลูกสาว
เมื่อวันที่ 26 ม.ค.เกิดข่าวช็อคแฟนกีฬาทั่วโลก เมื่อโคบี้ ไบรอันต์ ซูเปอร์สตาร์นักบาส สังกัดทีมลอสแอนเจลิส เลเกอร์ส วัย 41 ปี ประสบเหตุเฮลิคอปเตอร์ตกเสียชีวิต พร้อมกับจิอันนา ลูกสาว วัย 13 ปี ผู้โดยสารและนักบิน ขณะเดินทางไปสถาบันแมมบา โดยมีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์รวม 9 ราย ซึ่งในช่วงก่อนเกิดเหตุ มีผู้เห็นเฮลิคอปเตอร์ลำที่เกิดเหตุบินวนท่ามกลางหมอกที่หนาจัดนาน 15 นาที ก่อนที่เฮลิคอปเตอร์จะร่วงตกในเวลาต่อมา
การเสียชีวิตของโคบี้ถือเป็นข่าวเศร้า และเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ในวงบาสเก็ตบอสเอ็นบีเอ ที่ต้องเสียนักบาสเก็ตบอลระดับตำนานก่อนวัยอันควร
10.แผ่นดินไหวขนาด 7.0 -สึนามิเขย่าตุรกี ดับเกือบ 120 ราย
ตุรกีประสบกับเหตุแผ่นดินไหวครั้งรุนแรงที่สุดของปีนี้ เหตุแผ่นดินไหวดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 30 ต.ค. จุดศูนย์กลางของแผ่นดินไหวอยู่ห่างจากเกาะซามอสของกรีกไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ 14 กิโลเมตร วัดแรงสั่นสะเทือนได้ 7.0 แรงสั่นสะเทือนส่งผลให้อาคารหลายแห่งในตุรกีพังถล่ม โดยเมืองอิซมีร์ของตุรกีเป็นเมืองได้รับความเสียหายจากเหตุแผ่นดินไหวมากที่สุด
นอกจากนี้ เหตุแผ่นดินไหวดังกล่าวยังส่งผลให้เกิดสึนามิสูง 6 เมตร และอาฟเตอร์ช็อคตามมาอีกกว่า 2,800 ครั้ง โดยเหตุแผ่นดินไหวครั้งนี้ทำให้มีผู้เสียชีวิตไป 119 ราย บาดเจ็บอีก 1,053 คน และมีผู้ไร้ที่อยู่อาศัยอีกกว่า 15,000 คน สร้างความเสียหายราว 400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 12,000 ล้านบาท
ขอบคุณภาพ Xinhua
