ฮุนเซน สั่งเชือดอินฟลูบ้าคลั่ง เผาสินค้า ทำเกินกว่าความรักชาติ ด้านฮุน มาเนต เปิดยุทธศาสตร์แบบใหม่ เงียบแต่ไม่เงียบ
กรณี Mr.KO1 อินฟลูเอนเซอร์ชื่อดังกัมพูชา จุดไฟเผาสินค้าไทยกลางคลิปวิดีโอ พร้อมกล่าวหาว่า “ของไทยขายไม่ออก” และ “ไม่ควรนำเข้ามาอีก” จนคลิปนี้ไปถึง ฮุนเซน ประธานวุฒิสภาและอดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา
ล่าสุด 21 ต.ค. 68 ฮุนเซน โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวว่า สิ่งที่ KO1 ทำ ไม่ใช่การรักชาติ แต่เป็นการกระทำที่เกินเลยจากความรักชาติ ไม่สมควรมาสร้างภาพลบต่อประเทศตัวเอง”
“ถ้ามีเงินมาก ก็ให้ไปซื้อสินค้าที่เหลืออยู่ทั้งหมด เอาไปเป็นอาหารสัตว์ให้มันกิน ดีกว่าเอามาเผาทิ้งให้เปลืองของ”
เตือน “คนกัมพูชากว่า 99% ยังใช้สินค้าจากไทย” อย่าให้เรื่องนี้สร้างความเข้าใจผิดระหว่างประเทศ
“ปัจจุบันคนกัมพูชาเกือบทั้งหมด ร้อยละ 99 ใช้สินค้าที่มาจากประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นอาหาร เครื่องดื่ม ของใช้ในบ้าน หรือของจำเป็นต่าง ๆ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติของเศรษฐกิจเรา”
แง้มตั้งคำถามสำคัญว่า
“แล้วพ่อค้าแม่ค้าที่มีสินค้าไทยค้างอยู่จะให้ทำอย่างไร ? จะให้เผาทิ้งหมดเลยหรือ ? หรือจะให้ขายต่อเพื่อให้ได้เงินทุนกลับคืนบ้าง ?”
หากคนกัมพูชายังใช้สินค้าไทยอยู่ทุกวัน การออกมาเผาสินค้าของเพื่อนบ้านเช่นนี้ อาจทำให้คนไทยเข้าใจผิด และทำลายความสัมพันธ์อันดีระหว่าง 2 ประเทศ
ควรให้พ่อค้าแม่ค้าระบายสินค้าคงเหลือให้หมดก่อน อย่าเพิ่งรีบสั่งของใหม่เข้ามา เพื่อป้องกันการเข้าใจผิดว่า “สินค้าไทยขายไม่ออก”
“ของทุกอย่างมีวันหมดอายุของมัน เราควรใช้ให้คุ้ม ไม่ใช่เอาไปเผาทิ้ง และเราควรสนับสนุนสินค้าที่ผลิตในประเทศ เพื่อให้เศรษฐกิจกัมพูชาเติบโตอย่างมั่นคง”
ในช่วงท้ายของโพสต์ฮุน เซน ได้ฝากคำพูดแรงแต่แฝงด้วยสาระไว้ว่า
“อย่ารักชาติด้วยการเผาสินค้าของเพื่อนบ้าน การรักชาติที่แท้จริง คือการช่วยกันสร้าง ไม่ใช่ทำลาย”
พร้อมย้ำว่า คนกัมพูชาควรช่วยกันอุดหนุนสินค้าที่ผลิตในประเทศ และส่งเสริมผู้ประกอบการท้องถิ่น ควบคู่กับการรักษาความสัมพันธ์อันดีต่อประเทศเพื่อนบ้าน
ชาวเน็ตแห่ชื่นชม “พูดแรง แต่ตรง และมีเหตุผล”
หลังโพสต์ของฮุน เซน เผยแพร่ออกไป ชาวกัมพูชาและคนไทยต่างเข้าไปคอมเมนต์จำนวนมาก ส่วนใหญ่เห็นด้วย ที่ควรใช้เหตุผลมากกว่าอารมณ์ และมองว่าเป็น “บทเรียนเรื่องการใช้สมองในการรักชาติ”
หลายคอมเมนต์ยกให้ฮุน เซน เป็นตัวอย่างของผู้นำที่กล้าพูด และรักษามิตรภาพระหว่างประเทศ โดยไม่ปล่อยให้กระแสโซเชียลครอบงำ
ฮุน มาเนต เปิดยุทธศาสตร์ เงียบแต่ไม่เงียบ พากัมพูชาพ้นสงคราม
เว็บไซต์ Freshnews รายงานว่า ไม่กี่วันก่อนการลงนามในข้อตกลงสันติภาพกัวลาลัมเปอร์ ระหว่างไทยกับกัมพูชา ที่อาจจะยุติความขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชาได้อย่างเป็นทางการ ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ได้ย้ำชัดว่า สันติภาพไม่ได้เกิดจากโชคหรือความบังเอิญ แต่เกิดจากยุทธศาสตร์ที่ชาญฉลาดและวางแผนมาเป็นอย่างดี ซึ่งดำเนินการด้วยความอดทนและเคารพกฎหมายระหว่างประเทศ
ในบริบท วลีที่ ฮุน มาเนต ระบุว่า “เราเงียบ แต่ไม่เงียบ” ได้กลายเป็นสัญลักษณ์สำคัญของภาวะผู้นำที่ชาญฉลาด ที่นำพาประเทศให้หลุดพ้นจากวิกฤตสงครามครั้งใหม่ แม้จะเผชิญกับความตึงเครียดและการยั่วยุอย่างต่อเนื่อง
ในช่วงเวลาที่โลกหวาดกลัวว่า สงครามอาจจะปะทุขึ้นได้ทุกเมื่อ แม้กระทั่งหลังจากการหยุดยิงเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม นายกรัฐมนตรี ฮุน มาเนต ได้แสดงให้เห็นว่า ความคิดที่เข้มแข็ง มีเหตุผล ปัญญา และค;ามแข็งแกร่งภายใน สามารถบรรเทาความตึงเครียดและป้องกันไม่ให้เปลวเพลิงแห่งสงครามหวนกลับมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ดังนี้ นายกฯฮุน มาเนต ได้อธิบายไว้ว่า “เงียบแต่ไม่เงียบ” ไม่ใช่ข้อความเงียบเฉยที่ไร้พลัง หากแต่เป็นสัญญาณของวินัยและความสงบเยือกเย็น โดยยึดหลักสันติภาพเป็นหัวใจสำคัญของทุกการตัดสินใจและการแก้ปัญหา นี่คือปรัชญาทางการเมืองที่แสดงให้เห็นว่า สันติภาพสามารถบรรลุได้ด้วยสติปัญญาและความรับผิดชอบ ไม่ใช่ด้วยอาวุธหรือความโกรธ
ในช่วง 3 เดือนนับตั้งแต่การหยุดยิงเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม แถลงการณ์ของ ฮุน มาเนต ในพิธีเปิดสนามบินนานาชาติเตโช เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2568 ได้ตอบและชี้แจงคำถามจากนักวิจารณ์ที่เข้าใจผิดว่า ความเงียบและความอดทนของรัฐบาล คือความอ่อนแอ
“นักแก้ปัญหาทำงานตลอด 24 ชั่วโมง พวกเขาไม่เพียงแต่มองที่เดียว แต่มองไปทุกที่ เกิดอะไรขึ้นข้างหน้า เกิดอะไรขึ้นบ้าง แล้วผู้ลี้ภัยล่ะ เมื่อนักศึกษา ต้องอพยพออกจากบ้านเพราะสงคราม เราจะช่วยเหลือพวกเขาได้อย่างไร? หลายคนสูญเสียผลผลิตทางอาหารและอาชีพการงาน เราจะสนับสนุนพวกเขาได้อย่างไร เราพิจารณาสิ่งเหล่าทั้งหมด นั่นคือ ความหมายของการเงียบ แต่ไม่เงียบ”
แนวทาง “เงียบแต่ไม่เงียบ” นี้ เผยให้เห็นถึงศักยภาพทางการเมืองและยุทธศาสตร์ของผู้นำรุ่นใหม่ ซึ่งสามารถป้องกันสถานการณ์ที่เปราะบางไม่ให้บานปลายกลายเป็นสงครามใหญ่ครั้งที่ 2 ได้ ท้ายที่สุดแล้ว ได้นำความขัดแย้งมาสู่เส้นทางการแก้ไขโดยสันติผ่านความร่วมมือกับชุมชนระหว่างประเทศและประเทศเพื่อนบ้าน
การตัดสินใจของนายกรัฐมนตรียืนยันว่า ความอดทนภายใต้ยุทธศาสตร์ “เงียบแต่ไม่เงียบ” ไม่ใช่ความอ่อนแอ แต่เป็นอาวุธทางการเมืองอันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นหลังที่ปกป้องทั้งสันติภาพและอธิปไตยของชาติ
ด้วยยุทธศาสตร์ใหม่นี้ ซึ่งตั้งอยู่บนความอดทนและการทูตอย่างมีเหตุผล นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า การแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างกัมพูชากับไทยนั้น ตั้งอยู่บน 2 แนวทางพื้นฐาน ได้แก่
1.การป้องกันไม่ให้สงครามลุกลาม การควบคุมความขัดแย้ง การลดความเสี่ยง การฟื้นฟูเสถียรภาพ และการรับรองการปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิง
2.การระงับข้อพิพาทผ่านกลไกทางกฎหมายและการทูต สอดคล้องกับกฎหมายระหว่างประเทศ และหลักการของอาเซียน ในการแก้ไขความขัดแย้งโดยสันติ ที่ได้รับการยอมรับมายาวนาน
ฮุน มาเนต ระบุว่า ตลอด 3 เดือนที่ผ่านมา หลักการ “เงียบแต่ไม่เงียบ” ได้ถูกนำมาปฏิบัติอย่างแพร่หลาย โดยมุ่งหวังที่จะฟื้นฟูสถานการณ์ ยุติความตึงเครียดทั้งสองฝ่าย และกลับสู่แนวทางการแก้ปัญหาอย่างสันติภายใต้หลักการที่เรายึดถือกันมาโดยตลอด พร้อมกับขอให้ทุกคนเชื่อมั่นในแนวทางที่ว่า การยุติความขัดแย้ง ปกป้องประชาชน ปกป้องดินแดนและกองกำลังของเรา และแก้ไขปัญหาชายแดนผ่านกลไกทางกฎหมายและความร่วมมือทวิภาคี ไม่ใช่การใช้กำลัง
ทั้งนี้ การมีส่วนร่วมของชุมชนระหว่างประเทศและเพื่อนบ้านที่เป็นมิตรของกัมพูชา เป็นสิ่งสำคัญต่อความสำเร็จของยุทธศาสตร์ “เงียบแต่ไม่เงียบ” ของรัฐบาลกัมพูชา โดย ฮุน มาเนต ได้ขอบคุณทั้ง ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐ , นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย , ประเทศจีน รวมไปถึงเลขาธิการสหประชาชาติ , ประธานาธิบดีฝรั่งเศส และผู้นำโลกอีกหลายคน ที่ช่วยกันดับไฟสงครามระหว่างกัมพูชากับไทย