กลายเป็นกระแสในโลกออนไลน์ เมื่อแม่ค้าอาหารทะเลร้องเรียนสื่อ เจอ ตำตรวจพัทลุง ตั้งจุดตรวจเตอร์ฟิว เรียกเงิน 80,000 บาท
ล่าสุด ทนายอานนท์ เชื้อสัตตบงกช ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กเกี่ยวกับกรณีดังกล่าวว่า “#อำนาจล้นฟ้า ตั้งด่านดักจับเคอร์ฟิว บังคับรีดเลือดจากปูแท้ๆ #ตำรวจเมืองพัทลุงฉาว แอบตั้งจุดตรวจก่อนเคอฟิวร์ ดักจับแม่ค้า ขายอาหารทะเล กำลังเดินทางกลับบ้าน 5 นาที ก่อนเคอฟิวร์ ตะครุบตัว ยึดรถ ยึดโทรศัพท์ นำตัวไปคุย สภ.เมืองพัทลุง ก่อนเจรจา นาน 3 ชั่วโมง รีดเงิน 80,000 บาท แม่ค้าพยายามต่อรองเหลือ 40,000 บาท จนสุดท้ายไม่มีเงินลดพิเศษ 10,000 บาท แถมเงินยังไม่พอ เหลือ 5700 บาท จึงยึดกุ้ง หอย ตีราคารวมครบ 10,000 บาทก่อนปล่อยตัวกลับ
ถือว่าตำรวจชุดนี้กล้ามาก ที่กล้าแอบใช้อำนาจของ พรก. ฉุกเฉิน ซ้ำเติมประชาชนในยามที่บ้านเมืองกำลังเกิดกลียุค.โรคร้ายระบาดทั่วเมืองแบบนี้ อยากรู้จริงๆว่าคำสั่งตั้งจุดตรวจจุดสกัดจุดนี้ ตัวผู้กำกับได้อนุญาตให้ตั้งจริงมั๊ย.หรือจะมีส่วนได้เสียออกมาปกป้องกันอีก ถ้าไม่มีคำสั่งให้ตั้ง ก็ต้องถือว่าพวกตำรวจชุดนี้นี่เองละที่ฝ่าฝืน พรก.ฉุกเฉินช่วงเคอร์ฟิว แต่ที่แน่ๆ การไปเรียกรับผลประโยชน์ เพื่อปฎิบัติหรือละเว้นการปฎิบัติ ยังไงมันก็ผิดเต็มๆฐานเรียกรับตามมาตรา 149 ยุแล้ว หรือถ้าไม่มีหน้าที่จริง แต่ดันทะลึงลักไก่ไปแอบตั้งด่านเรียกเงินกันเอง ก็คงไม่รอดความผิดฐานกรรโชกทรัพย์ ชาวบ้าน และออกนอกเคหะสถานในช่วงเวลาเคอร์ฟิวอีกแน่นอน
ถ้ากล้าทำจริงๆต้องถือว่าตำรวจชุดนี้ เลือดเย็นและถือว่าพฤติการณ์ร้ายแรงมากๆ ที่กล้าฉวยโอกาสซ้ำเติมชาวบ้านในช่วงนี้ บอกแล้วพรก.ฉุกเฉินเขาให้อำนาจแก่คนบางกลุ่มมากจนล้นฟ้า สุดท้ายอำนาจเหลือๆเลยต้องนำมาหากินกับชาวบ้านแบบนี้ งามไส้มั๊ยละครับเจ้านาย
ประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 149 ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ สมาชิกสภาจังหวัด หรือสมาชิกสภาเทศบาล เรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่งไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงยี่สิบปี หรือจำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่หนึ่งแสนบาทถึงสี่แสนบาท หรือประหารชีวิต
มาตรา 337 “ผู้ใดข่มขืนใจผู้อื่นให้ยอมให้หรือยอมจะให้ตนหรือผู้อื่นได้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สิน โดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือโดยขู่เข็ญว่าจะทำอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพย์สินของผู้ถูกขู่เข็ญหรือของบุคคลที่สาม จนผู้ถูกข่มขืนใจยอมเช่นว่านั้น ผู้นั้นกระทำความผิดฐานกรรโชก ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี และปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท
ถ้าความผิดฐานกรรโชกได้กระทำโดย
- ขู่ว่าจะฆ่า ขู่ว่าจะทำร้ายร่างกายให้ผู้ถูกข่มขืนใจ หรือผู้อื่นให้ได้รับอันตรายสาหัส หรือขู่ว่าจะทำให้เกิดเพลิงไหม้แก่ทรัพย์ของผู้ถูกข่มขืนใจหรือผู้อื่น หรือ
- มีอาวุธติดตัวมาขู่เข็ญ ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงเจ็ดปี และปรับตั้งแต่หนึ่งพันบาทถึงหนึ่งหมื่นสี่พันบาท”
ที่มา : อานนท์ เชื้อสัตตบงกช