โฆษกกองทัพบก ชี้แจงปลดเจ้าหน้าที่ขส.ทบ.หลังทำเอกสารปลอม 9 ฉบับ ขายทอดตลาด ล่าสุดขนส่งฯ เพิกถอนทะเบียนรถ600 คันแล้ว
นายสนิท พรหมวงษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางบก สั่งเพิกถอนการจดทะเบียนรถ 605 คัน จาก 1,136 คัน หลังกรมการขนส่งทหารบก หรือ ขส.ทบ. ได้ตรวจสอบแล้วพบว่ามีกระบวนการยื่นเอกสารส่งบัญชีรถแจ้งการประมูลขายทอดตลาดโดยใช้เอกสารปลอม โดยมีกลุ่มบุคคลจัดทำขึ้นมาและไม่มีการประมูลรถเพื่อขายทอดตลาดแต่อย่างใด ทั้งนี้ กรมการขนส่งทางบกได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบเพื่อติดตามขยายผลไปยังเจ้าหน้าที่ของกรมที่อาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าวด้วย หากพบว่ากระทำผิดจะลงโทษหนักคือไล่ออกสถานเดียวไม่ละเว้นแน่นอน รวมถึงเอาผิดทางแพ่งเพื่อจ่ายค่าปรับให้กับ ผู้เสียหายอีกด้วย
สำหรับรถที่ถูกเพิกถอนทะเบียนทั้งหมดนั้น ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ จ.ตาก รองลงมาเป็น จ.ชลบุรี อ่างทอง กรุงเทพฯ และนครปฐม
ด้านพ.ต.อ.ทรงศักดิ์ รักศักดิ์สกุล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กล่าวว่า เบื้องต้นประเมินมูลค่าความเสียหายไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาท ทั้งนี้ ยอมรับว่ามีผู้เกี่ยวข้องที่เป็นข้าราชการนับสิบรายและมีข้าราชการทหารที่พัวพันมากกว่าสองคน โดยจะนำคดีเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการ (บอร์ด) ดีเอสไอ จะเข้าข่ายเป็นคดีพิเศษหรือไม่
ขณะที่ พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เปิดเผยถึงกรณี กรมการขนส่งทหารบก (ขส.ทบ.) ได้ตรวจสอบพบพิรุธเกี่ยวการยื่นเอกสารการประมูลขายทอดตลาดรถยนต์ทหารของขส.ทบ.ที่มี บางคนไปยื่นให้ไว้กับกรมขนส่งทางบก จึงได้มีประสานกรมขนส่งทางบก เพื่อขอตรวจสอบอย่างละเอียด ในเอกสารบัญชีรถประมูลขายทอดตลาดในส่วนของ ขส.ทบ. ทุกฉบับ ที่ได้มีการมายื่นไว้ให้กับกรมขนส่งทางบกจะโดยบุคคลใดก็ตาม เมื่อขอดูแล้วจึงพบว่ามีเอกสารส่งบัญชีแจ้งการประมูลขายทอดตลาดรถยนต์ทหาร.โดย ขส.ทบ. มีจำนวน 9 ฉบับ เป็นรถรวมทั้งสิ้น 1,136 คัน
พ.อ.วินธัย กล่าวต่อว่า จากการตรวจสอบละเอียดแล้วพบว่า เอกสารดังกล่าวเป็นเอกสารเท็จทั้งหมด รายละเอียดที่ระบุไว้ในเอกสาร เช่น หมายเลขเครื่อง หมายเลขตัวถัง ก็ไม่ใช่รถในอัตราของกองทัพบก การลงนามของผู้มีอำนาจตามหน้าที่ในเอกสารก็เป็นการปลอมแปลงขึ้นมาเอง ที่สำคัญในห้วงระยะเวลาดังกล่าวกองทัพบก โดย ขส.ทบ. ไม่ได้มีการประมูลรถขายทอดตลาดออกไปแต่อย่างใด เพราะฉะนั้นเอกสารดังกล่าวทั้งหมดจึงเป็นเอกสารปลอมที่จัดทำขึ้นมาเอง
ซึ่งขณะนี้ขส.ทบ.ได้ดำเนินการ กับเจ้าหน้าที่ผู้ที่เกี่ยวข้อง ในทางวินัยขั้นร้ายแรงแล้ว โดยการเสนอให้ปลดออกจากราชการ