” สมชาย วงศ์สวัสดิ์”ขึ้นศาลฎีกานักการเมืองแถลงปิดคดีสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรปี 2551 ขณะที่ “บิ๊กจิ๋ว”เบี้ยวอ้างป่วย ศาลกำชับ2 ส.ค.ต้องมาฟังด้วยตนเอง
30 มิ.ย.60 ศาลฏีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดไต่สวนพยานจำเลยนัดสุดท้ายในคดีที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตรองนายกรัฐมนตรี พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) และ พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว อดีตผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เป็นจำเลยที่ 1 – 4 ในความผิดฐานเป็นเจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ จากกรณีสลายการชุมนุมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551
โดยเมื่อถึงเวลานัด ฝ่ายจำเลยได้นำพยานขึ้นเบิกความต่อศาล จำนวน 5ปาก ประกอบด้วย พลตำรวจตรีโกสินทร์ บุญสร้าง ขึ้นเบิกความในฐานะ ลงพื้นที่เจรจากับกลุ่มผู้ชุมนุม พลตำรวจตรี ภูวดล วุฑฒกนก ขึ้นเบิกความประเด็นการใช้แก๊สน้ำตา และอายุการใช้งาน พันตำรวจเอกนพศิลป์ พูลสวัสดิ์ ขึ้นเบิกความต่อศาลในฐานะ เจ้าหน้าที่ที่แฝงตัวเข้าไปสืบสวนหาข่าวในกลุ่มผู้ชุมนุม ส่วน พันตำรวจตรี ทวีศักดิ์ ชาติเชื้อ ขึ้นเบิกความในประเด็น การเบิกจ่ายแก๊สน้ำตา และพันตำรวจเอกสมชาย เชยกลิ่น ขึ้นเบิกความในฐานะ ผู้กำกับการสถานีตำรวจนครบาลดุสิตในขณะนั้น
ต่อมาภายหลังพยานจำเลยทั้ง 5 ปาก เบิกความเสร็จสิ้น นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี แถลงปิดต่อศาลด้วยวาจา ว่า โดยชี้แจงช่วงเวลาในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่คืนวันที่ 6ตุลาคมที่มีการประชุม ครม.ไม่ได้พูดคุยเรื่องการสบายการชุมนุม เพียงแค่หารือเรื่องการย้านที่ประชุมเท่านั้นและได้เข้าหารือกับ พล.ต.อ.พัชรวาท และ พล.ต.ท.สุชาติ โดยมี พล.อ.ชวลิต อยู่ร่วมในการหารือด้วย ซึ่ง นายสมชาย ระบุว่า จากการหารือไม่ได้สั่งการอะไรเพิ่มเติม เพราะการควบคุมฝูงชน เป็นหน้าที่ของตำรวจที่มีอำนาจในการบังคับใช้กฎหมาย และในวันที่ 7ตุลาคม2551 ตนเองเดินทางไปแถลงนโยบานที่รัฐสภา แต่ได้รับแต้งจากตำรวจ ให้รีบออกจากพื้นที่เพราะเกรงว่าไม่ปลอดภัย ซึ่งตำรวจไม่สามารถเจรจาให้ผู้ชุมนุมเปิดทางได้ ตำรวจชี้แจงว่า อาจมีจำเป็นต้องใช้แก๊ซน้ำตาในการเปิดทาง ซึ่งนายสมชาย ได้ทำการสั่งห้าม และใช้วิธีปีนกำแพงหลบออกจากอาคารรัฐสภาไปทางพระที่นั่งวิมานเมฆ พระบรมหาราชวัง และได้กล้าขอโทษกรมวังชั้นผู้ใหญ่ที่ล่วงล้ำพื้นที่ พร้อมขออนุญาตใช้เฮลิคอปเตอร์เพื่อหลบออกจากพื้นที่ ดังนั้นถ้าผู้ชุมนุมอ้างว่าจะมาขัดขวางนายสมชายไม่ให้แถลงนโยบาย ก็คงเป็นไปไม่ได้เพราะได้เดินทางออกมาแล้ว
ส่วนเหตุการณ์ในช่วงเย็นวันที่ 7 ต.ค. ที่มีการใช้แก๊สน้ำตา นายสมชาย บอกด้วยว่า ตนเองไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ และไม่ได้รับรายงาน เพราะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า ตำรวจมีผู้บัญชาการเหตุการณ์ และมีอำนาจตัดสินใจในการดูแลความสงบเรียบร้อยตามกฎหมาย ทั้งนี้พฤติการณ์ที่กล่าวมาสอดคล้องกับคำวินิจฉัยของศาลปกครองที่ระบุว่า ผู้ที่จะกระทำผิดตาม ม.157 ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ต้องเป็นผู้ที่มีอำนาจในการบังคับใช้กฎหมาย ฉะนั้นการแจ้งข้อกล่าวหาดังกล่าวจึงมิชอบ
โดยนายสมชาย ยืนยันว่า ไม่ได้ละเว้นปฏิบัติหน้าที่และไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตาม ม.157 เพราะไม่ได้มีอำนาจโดยตรงในความรับผิดชอบการสลายการชุมนุม เป็นหน้าที่ของตำรวจที่มีอำนาจตัดสินใจในเหตุการณ์เฉพาะหน้า และยืนยันด้วยว่าไม่ได้เลือกปฏิบัติและไม่เคยคิดทำร้ายประชาชน
ทั้งนี้ ภายหลังการเบิกความพยานฝ่ายจำเลย และการแถลงปิดคดีเสร็จสิ้น ศาลได้นัดให้คู่ความทั้งสองฝ่าย ส่งเอกสารแถลงปิดคดีเป็นล่ยลักษณ์อักษร เป็นเวลา20วัน ภายในวันที่20ก.ค. และนัดฟังคำพิพากษาวันที่ 2 ส.ค.60 เวลา 09.30 น. พร้อมกำชับให้ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ จำเลยที่ 2 เดินทางมาฟังคำพิพากษาด้วย หลังจากที่วันนี้ป่วยไม่ได้เดินทางมา