รายงานพิเศษ : ผ่าดีล “อนุทิน” ปิดเกมตั้งรัฐบาล วัดใจเสียง “เพื่อไทย-พลังประชารัฐ”
กลายเป็นพรรคเนื้อหอมขึ้นมาทันที เมื่อ “ภูมิใจไทย” ผงาดขึ้นมาเป็นพรรคการเมืองที่ถูกจับตามาในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อการตั้งรัฐบาลผสม จากจุดยืนตั้งแต่ก่อนการเลือกตั้ง 24 มี.ค. เพื่อเป็นพรรคขนาดกลางที่พร้อมจับมือกับพรรคการเมืองใดที่มีนโยบายแก้ไขปัญหาปากท้องประชาชน และพาประเทศก้าวพ้นความขัดแย้งได้สำเร็จ

- หน้าไพ่ภูมิใจไทยได้เปรียบที่สุด
จากตัวเลข 51 ส.ส.ภูมิใจไทยถูกแสงสปอร์ทไลน์ส่องมาระหว่างขั้ว “พลังประชารัฐ” ที่ได้ตัวเลขส.ส.อย่างไม่เป็นทางการที่ 97 ที่นั่ง และฝั่ง “เพื่อไทย” ที่ได้ส.ส.มาเป็นอันดับ 1 ใน 137 ที่นั่ง เพราะหมายความว่าหาก “เพื่อไทย” ในฐานะพรรคที่ถือเสียงข้างมากขณะนี้ สามารถเปิดเจรจากับ “ภูมิใจไทย” ได้สำเร็จ จะทิ้งให้ “พลังประชารัฐ” และ “ประชาธิปัตย์” ไปอยู่ในพรรคร่วมฝ่ายค้านทันที แต่คำประกาศจุดยืนของซีก “พลังประชารัฐ” ซึ่งไม่ยอมถูกปิดเกมง่ายๆ ออกยืนยันในความชอบธรรมว่า พรรคได้เสียงคะแนนรวมมาเป็นอันดับ 1 ที่ 7,939,937 คะแนนจะ “มีสิทธิ” รวบรวมเสียงส.ส.จากพรรคการเมืองอื่นมาตั้งรัฐบาลได้เช่นกัน

ส่วนตัวแปรจาก “อนาคตใหม่” ที่กุมเสียงมาเป็นอันดับ 3 ที่ 81 ที่นั่งนั้น ยังเป็นอีกเงื่อนไขสำคัญต่อการตั้งรัฐบาล พร้อมกับพรรค “เพื่อไทย” กับกลุ่ม “เสรีรวมไทย” ซึ่งมีส.ส. 10 ที่นั่ง และ “เศรษฐกิจใหม่” ที่มีส.ส.อีก 6 ที่นั่งทำให้ตัวเลขเบื้องต้นที่เพื่อไทยจะรวมเสียงได้แน่นอนนาทีนี้ จะอยู่ในสูตร 137+81+10+6 เท่ากับอยู่ที่ 234 ที่นั่ง ดังนั้นรอเพียงการตัดสินใจของ “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย จะนำพรรค 51 เสียงไปจับกับขั้วไหน เพราะหาก “ดีล” การจัดวางกระทรวงกับ “เพื่อไทย” ลงตัวทุก จะทำให้ขั้วนี้มีตัวเลขตั้งรัฐบาลไปถึง 285 ที่นั่ง เกินกึ่งหนึ่งเสียงข้างมากของที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร เดินหน้าบริหารประเทศได้คล่องตัวหลังการเลือกตั้ง
- คนคุ้นเคยพลังประชาชน
อย่าลืมว่า “คนภูมิใจไทย” เคยอยู่ในพรรคพลังประชาชน ก่อนที่ “ผู้ยิ่งใหญ่” บุรีรัมย์จะยกส.ส. ฝ่าแรงต้าน “ทักษิณ” มารวมกับ “ประชาธิปัตย์” ตั้งรัฐบาล “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” มาแล้ว ทำให้ฝั่ง “เพื่อไทย” เชื่อว่า “คอนเนคชั่น” เก่าแก่กับภูมิใจไทยที่ยังมีอยู่นั้น จะเปิดโต๊ะเจรจาเพื่อปิดดีลได้ไม่ยาก

- เปิดสูตรรัฐบาลพลังประชารัฐ
ทว่าอีกด้านหนึ่ง “กำลังรบ” ของ 250 ส.ว. ซึ่งนาทีนี้หลายฝ่ายเชื่อแล้วว่า จะถูกนำมาเป็นเงื่อนไขให้พลังประชารัฐสู้กับ “เพื่อไทย” เพื่อฝ่าเสียงพรรคการเมืองไม่เอา “ประยุทธ์” ไปพร้อมเดินหน้า “เจรจา” กับ “เสี่ยหนู” ที่ถือคอนเนคชั่นมากกว่านักเมืองขั้วอื่น ให้หันมาร่วมรัฐบาลกับ “พลังประชารัฐ” ด้วยสูตร 115+51 พร้อมดึงเสียงจาก “ชาติไทยฯ มาเพิ่มอีก 10 เสียง รวมกับ “ประชาชาติ” 6 เสียง และ “รวมพลังประชาชาติไทย” อีก 5 เสียง จะไปจบที่ 187 เสียง เมื่อไปรวมกับกับ “250” เสียงที่ตุนรอไว้แล้ว “พลังประชารัฐ” จะผงาดเสียงข้างมากในสภาทันที 437 เสียง ตั้งรัฐบาล ดัน “บิ๊กตู่” ขึ้นนายกฯอีกสมัย
แต่ประเทศยังต้องขีดเส้นใต้ 3 เส้นไปที่ดุลยภาพการบริหารราชการแผ่นดินจาก “รัฐบาล” ชุดใหม่ภายหลังการเลือกตั้ง เพราะ 250 ส.ว. จะมีอำนาจแค่ “โหวตนายกฯ” เท่านั้น ทำให้ตัวเลข 187 ในขั้ว “พลังประชารัฐ” ยังน้อยกว่าพรรคร่วมฝ่ายค้านทุกกระดาน เป็นตัวเลขที่สุ่มเสี่ยงพร้อมถูก “คว่ำ” ในที่ประชุมสภาในการอภิปราย “ไม่ไว้วางใจ” ได้ตลอดเวลา

- ปลดล็อคเงื่อนไขประชาธิปัตย์
ส่วนตัวแปรที่ยังไม่ตายอย่างประชาธิปัตย์ จะถูกปลุกขึ้นมา จากเคยถูกล็อกด้วยเงื่อนไขที่ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” เคยประกาศไม่ร่วมกับ “เพื่อไทย” เด็ดขาด ทำให้เกมนี้ตัวเลข 52 เสียงจากพรรคประชาธิปัตย์ จะถูกบีบย้ายมาที่พลังประชารัฐ เพื่อ “ปลดล็อค” เงื่อนไขที่ “อภิสิทธิ์” เคยประกาศไว้ว่าไม่สนับสนุน “ประยุทธ์” เพราะในเมื่อ “อภิสิทธิ์” ลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคไปแล้ว ทำให้ “เงื่อนไข” ที่เคยประกาศไว้ต้องถูก “ยุติ”ให้กับประชาธิปัตย์ไปด้วย
29 มี.ค.นี้ คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) จะประกาศคะแนนรวมทั้งประเทศ จะส่งให้การคำนวนส.ส. ของแต่ละพรรคการเมืองเด่นชัดขึ้น ซึ่งเป็นตัวเลขสำคัญนำไปเป็นเงื่อนไขบนโต๊ะเจรจา เพื่อส่งทุกคะแนนเสียงในการตั้งรัฐบาลให้กับ 2 ขั้วพรรคการเมืองทั้ง “เพื่อไทย-พลังประชารัฐ” เปิดศึกนอกรอบ เพื่อพาตัวเองเข้าเส้นชัยปิดเกมตั้งรัฐบาล ทิ้งฝ่ายตรงข้ามให้จมได้ทุกเมื่อ