วันที่ 31 ธ.ค. 63 เว็บไซต์ ราชกิจจานุเบกษา ออกประกาศหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในส่วนที่เกี่ยวกับความมั่นคง เรื่อง ห้ามการชุมชุม การทำกิจกรรม การมั่วสุมที่ก่อให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด – 19) โดยมีเนื้อหาระบุว่าตามที่ปรากฏว่ามีการติดเชื้อและแพร่ระบาดของโรคโควิด- 19 ในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาครและจังหวัดระยอง ซึ่งได้มีการแพร่ระบาดออกไปยังหลายจังหวัดในประเทศ รวมทั้งมีแนวโน้มจะแพร่ระบาดไปทั่วประเทศ เพื่อป้องกันการระบาดของการติดเชื้อโรคโควิด-19 มิให้ขยายไปในวงกว้าง รวมทั้งก่อให้เกิดความเสียหายอื่นๆ
ประยุทธ์ ขออย่าตระหนก โควิดระลอกใหม่ “สังสรรค์แค่ครอบครัว”
ราชกิจจานุเบกษา ประกาศห้ามคนต่างด้าว ที่ติดเชื้อโควิด19 และโรคต้องห้ามเข้าไทย
โดยดำเนินมาตรการป้องกันควบคู่ไปกับการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจอาศัยอำานาจตามข้อกำาหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการ ในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 (ฉบับที่ 15) ข้อ 3 และคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 4/2563 ลงวันที่ 25 มีนาคม พ.ศ.2563 เรื่อง แต่งตั้งผู้กำกับการปฏิบัติงาน หัวหน้าผู้รับผิดชอบ และพนักงานเจ้าหน้าที่ในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน ข้อ3 (6) และคำสั่ง ประกาศที่เกี่ยวข้องจึงให้ปฏิบัติ ดังนี้
ราชกิจจาฯ ประกาศพรก.ฉุกเฉิน “ห้ามชุมนุม-มั่วสุม-ทำกิจกรรม” ป้องโควิดลุกลาม
1.ห้ามมิให้มีการมั่วสุมในลักษณะที่เสี่ยงต่อการแพร่เชื้อโรค หรือการกระทำอันเป็นการฉวยโอกาสซ้ำเติมความเดือดร้อนของประชาชน หรือการกลั่นแกล้งเพื่อแพร่เชื้อโรคณ ที่ใด ๆ ทั่วราชอาณาจักร
2.ห้ามมิให้มีการชุมนุม หรือการทำกิจกรรมที่มีการรวมคนที่มีความแออัดในลักษณะที่เสี่ยงต่อการแพร่เชื้อโรค ในพื้นที่ซึ่งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ผู้ว่าราชการจังหวัด ประกาศหรือมีคำสั่งให้เป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุด หรือพื้นที่ควบคุม เว้นแต่การทำกิจกรรมของทางราชการ หน่วยงานของรัฐรัฐวิสาหกิจ ซึ่งมีมาตรการเว้นระยะห่างระหว่างบุคคลที่ปลอดภัย หรือการทำกิจกรรมภายในครอบครัวที่อยู่ในเคหสถาน
3.การชุมนุม หรือการทำกิจกรรมที่มีการรวมคนที่มีความแออัด ในพื้นที่ซึ่งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ผู้ว่าราชการจังหวัด ประกาศหรือมีคำสั่งให้เป็นพื้นที่เฝ้าระวังสูง หรือพื้นที่เฝ้าระวังให้ผู้จัดการชุมนุมหรือจัดกิจกรรมดังกล่าว ต้องขออนุญาตผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ผู้ว่าราชการจังหวัดก่อนดำเนินการ โดยแสดงแผนการจัดงานและมาตรการควบคุมโรค ประกอบการพิจารณา เว้นแต่การทำกิจกรรมของทางราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ ซึ่งมีมาตรการเว้นระยะห่างระหว่างบุคคลที่ปลอดภัย หรือการทำกิจกรรมภายในครอบครัวที่อยู่ในเคหสถาน
หากผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งนี้ ต้องรับโทษตามมาตรา 18 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินพ.ศ.2548 มีโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 30 ธันวาคม พ.ศ.2563 เป็นต้นไป
ประกาศ ณ วันที่ 29 ธันวาคม พ.ศ.2563
พลเอก เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด หัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในส่วนที่เกี่ยวกับความมั่นคง