ไอติม-ก้าวไกล ชี้ สสร. มาจากการเลือกตั้งทั้งหมด เพราะจะทำให้กระบวนการมีความชอบธรรมทางประชาธิปไตยมากที่สุด รวมถึงเปิดกว้างมากที่สุดด้วย
วันที่ 24 ธันวาคม 2566 ไอติม หรือ นายพริษฐ์ วัชรสินธุ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณี คุณนิกร จำนง ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการรับฟังความคิดเห็นฯ ของรัฐบาล ได้ให้สัมภาษณ์ว่ามีข้อเสนอแนะให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ทั้งหมด 100 คน โดย 77 คนมาจากการเลือกตั้ง (1 คน ต่อจังหวัด) และ 23 คนที่คัดเลือกโดยรัฐสภาจากกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ-ผู้มีประสบการณ์-กลุ่มความหลากหลาย ซึ่งจะทำให้เป็น สสร. ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งทั้งหมด โดย ไอติม กล่าวว่า “เราไม่จำเป็นต้องเลือกระหว่าง “สสร. ที่มาจากการเลือกตั้งทั้งหมด” กับ “สสร. ที่มีตัวแทนผู้เชี่ยวชาญ-ผู้มีประสบการณ์-กลุ่มความหลากหลาย” เพราะเราสามารถออกแบบระบบเลือกตั้งที่ตอบโจทย์ทั้ง 2 เป้าหมายในเวลาเดียวกันได้”

นายพริษฐ์ กล่าวอีกว่า ผม และ พรรคก้าวไกล ยืนยันมาตลอดว่ารัฐธรรมนูญฉบับใหม่ควรถูกร่างโดย สสร. ที่มาจากการเลือกตั้งทั้งหมด เพราะจะทำให้กระบวนการมีความชอบธรรมทางประชาธิปไตยมากที่สุด รวมถึงเปิดกว้างมากที่สุดต่อความเห็นที่แตกต่างหลากหลายและการมีส่วนร่วมของประชาชนทุกกลุ่ม เราเห็นต่างกันได้ว่า สสร. ควรมาจากการเลือกตั้งทั้งหมดหรือไม่ แต่ผมคิดว่าเราตั้งหลักกันให้ชัด ว่าเราไม่จำเป็นต้องเลือกระหว่าง “การมี สสร. ที่มาจากการเลือกตั้งทั้งหมด” กับ “การมี สสร. ที่มีพื้นที่ให้กับผู้เชี่ยวชาญ-ผู้มีประสบการณ์-กลุ่มความหลากหลาย” เพราะเราสามารถมีทั้งสองอย่างได้ (หากเราต้องการ) ผ่านการออกแบบระบบเลือกตั้ง ถึงแม้เรายอมเดินหน้าตามสมมุติฐานว่าเราต้อง “รับประกัน” พื้นที่ให้กับผู้เชี่ยวชาญ-ผู้มีประสบการณ์-กลุ่มความหลากหลาย ใน สสร. (ทั้งที่ความจริงสมมุติฐานนี้ยังมีคนที่มีความเห็นที่แตกต่าง เช่น บางคนมองว่าผู้เชี่ยวชาญ-ผู้มีประสบการณ์ไม่จำเป็นต้องอยู่ใน สสร. แต่ให้อยู่ในชั้นคณะกรรมาธิการยกร่าง / บางคนมองว่ากลุ่มดังกล่าวก็ควรจะลงสมัครรับเลือกตั้งผ่านกระบวนการเดียวกับคนทั่วไป) เราสามารถบรรลุเป้าหมายดังกล่าวได้ โดยยังคงหลักการว่า สสร. มาจากการเลือกตั้งทั้งหมด
- เปิดภาพ แท่นยึดรางจ่ายกระแสไฟฟ้า ของ รถไฟฟ้าสายสีชมพู
- สุริยะ ชี้ สาเหตุรางจ่ายกระแสไฟหลุด ของ รถไฟฟ้าสายสีชมพู มาจากสิ่งนี้
- ดับ 1 เหตุแผ่นเหล็กเครน รถไฟฟ้าใต้ดินสายสีม่วง – รฟม. พร้อมเยียวยา
กรอบคิดสำคัญที่จะช่วยปลดล็อกความเป็นไปได้คือการมองว่า สสร. ไม่จำเป็นต้องมี สสร. ประเภทเดียว แต่อาจประกอบไปด้วย สสร. ที่แบ่งออกเป็นหลายประเภทที่ล้วนมาจากการเลือกตั้ง (คล้ายกับ สส. ที่ปัจจุบันมีการแบ่งออกเป็น 2 ประเภท นั้นคือ สส. แบบแบ่งเขต และ สส. แบบบัญชีรายชื่อ) โดยทางเลือกหนึ่งคือการแบ่ง สสร. ออกเป็น 3 ประเภท
1.ประเภท ก. = สสร. ประเภท ตัวแทนพื้นที่
2.ประเภท ข. = สสร. ประเภท ตัวแทนผู้เชี่ยวชาญ-ผู้มีประสบการณ์ (เช่น นักวิชาการด้านกฎหมาย นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ นักวิชาการด้านสังคมศาสตร์ ผู้มีประสบการณ์การเมืองในระบบ ผู้มีประสบการณ์การเมืองภาคประชาชน)
3.ประเภท ค. = สสร. ประเภท ตัวแทนกลุ่มความหลากหลาย (เช่น เยาวชน กลุ่มชาติพันธุ์ กลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ กลุ่มคนพิการ)
โดย สสร. ทั้ง 3 ประเภทนั้นมาจากการเลือกตั้งทางตรงทั้งหมด โดยใช้วิธีให้ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งแต่ละคน มีบัตรเลือกตั้งทั้งหมด 3 ใบ
-บัตรเลือกตั้ง ก. = เลือก สสร. ประเภทตัวแทนพื้นที่ : โดยอาจใช้จังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง
-บัตรเลือกตั้ง ข. = เลือก สสร. ประเภทตัวแทนผู้เชี่ยวชาญ-ผู้มีประสบการณ์ : โดยเปิดให้ผู้เชี่ยวชาญ-ผู้มีประสบการณ์ที่สนใจเป็น สสร. และผ่านคุณสมบัติที่กำหนด สมัครเข้ามา เพื่อรวบรวมรายชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้งที่เป็นผู้เชี่ยวชาญ-ผู้มีประสบการณ์ และเปิดให้ประชาชนเลือกผ่านคูหาเลือกตั้งว่าต้องการผู้เชี่ยวชาญ-ผู้มีประสบการณ์เป็นตัวแทนของเขาในฐานะ สสร. ประเภท ข.
-บัตรเลือกตั้ง ค. = เลือก สสร. ประเภทตัวแทนกลุ่มความหลากหลาย : โดยเปิดให้ประชาชนที่สนใจเป็น สสร. ตัวแทนกลุ่มความหลากหลาย สมัครเข้ามาโดยระบุในกระบวนการสมัครและการรณรงค์หาเสียงว่าตนเป็นตัวแทนกลุ่มความหลากหลายกลุ่มใดหรือในมิติใด (โดยจะกำหนดหมวดหมู่ต่างๆเป็นการเฉพาะหรือไม่ก็ได้) เพื่อรวบรวมรายชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้งที่เป็นตัวแทนกลุ่มความหลากหลายต่างๆ และเปิดให้ประชาชนเลือกผ่านคูหาเลือกตั้งว่าต้องการผู้สมัครคนใดเป็นตัวแทนกลุ่มความหลากหลายต่างๆในฐานะ สสร. ประเภท ค.
ระบบเลือกตั้งแบบนี้ เป็นเพียงระบบหรือวิธีหนึ่งที่จะทำให้เรามี สสร. ที่มีตัวแทนผู้เชี่ยวชาญ-ผู้มีประสบการณ์-กลุ่มความหลากหลายได้ โดยที่ สสร. ทุกคนยังคงมาจากการเลือกตั้ง 100% โดยยังมีอีกหลายระบบหรือวิธีที่เป็นไปได้เพื่อตอบโจทย์วัตถุประสงค์เดียวกัน ซึ่งทางคณะอนุกรรมาธิการภายใต้คณะกรรมาธิการพัฒนาการเมือง สภาผู้แทนราษฎร (ซึ่งเคยเชิญคุณนิกรและตัวแทนจากคณะกรรมการศึกษาฯ ของรัฐบาล มาร่วมประชุมก่อนหน้านี้) ได้ศึกษา-จัดทำข้อเสนอ และกำลังเรียบเรียงเป็นรายงานเพื่อส่งต่อให้สภาผู้แทนราษฎร-คณะรัฐมนตรี-ประชาชน พิจารณาอย่างเป็นทางการในต้นเดือนมกราคม
ท้ายสุดแล้ว ผมเข้าใจดีว่าเรามีจุดยืนที่ต่างกันได้ว่า สสร. ควรจะมาจากการเลือกตั้งทั้งหมดหรือไม่ (ซึ่งความจริง พรรคก้าวไกลเสนอให้เป็น 1 คำถามรองในการทำประชามติเพื่อให้ประชาชนเป็นคนตัดสินใจโดยตรง แต่โปรดอย่าใช้เหตุผลว่าเราต้องมีพื้นที่ให้ผู้เชี่ยวชาญ-ผู้มีประสบการณ์-กลุ่มความหลากหลาย ใน สสร. มาเป็นเหตุผลในการบอกว่าเราไม่ควรมี สสร. ที่มาจากการเลือกตั้งทั้งหมด เพราะหากเราออกแบบระบบเลือกตั้งกันอย่างรอบคอบ เราสามารถมี สสร. ที่มาจากการเลือกตั้งทั้งหมด ที่ยังคงมีพื้นที่ให้ผู้เชี่ยวชาญ-ผู้มีประสบการณ์-กลุ่มความหลากหลายได้ (หากเราประสงค์ให้มี) โดยไม่จำเป็นต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง

ทั้งนี้ สำหรับใครที่มองว่าการที่ สสร. บางส่วนมาจากการคัดเลือกโดยรัฐสภา ก็ถือว่ามีความยึดโยงกับประชาชนหรือชอบธรรมทางประชาธิปไตยเทียบเท่ากับ สสร. ที่มาจากการเลือกตั้งแล้ว ผมขออนุญาตมองต่าง คุณค่าสำคัญของ “การเลือกตั้ง” คือความเชื่อมโยงกับประชาชนผ่านคูหาเลือกตั้ง ดังนั้น เกณฑ์สำคัญในมุมมองของผมคือการที่ประชาชนมีส่วนร่วมในการกำหนดบุคคลที่จะมาดำรงตำแหน่ง สสร. ทุกคนผ่านการตัดสินใจของพวกเขาในคูหาเลือกตั้ง หาก สสร. บางคน ถูกแต่งตั้งโดยรัฐสภา ก็ไม่ถือว่าผ่านเกณฑ์ดังกล่าว เนื่องจากส่วนหนึ่งของรัฐสภาประกอบไปด้วยวุฒิสภาที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน (1 ใน 3 สำหรับ สว. ชุดปัจจุบัน / 2 ใน 7 หลังเปลี่ยนเป็น สว. ชุดใหม่) หรือแม้จะปรับให้ สสร. บางคน ถูกแต่งตั้งโดยสภาผู้แทนราษฎร (แทนรัฐสภา) ผมก็มองว่าอาจจะยังไม่ถือว่าผ่านเกณฑ์ดังกล่าวได้เต็มที่ เนื่องจากถึงแม้สภาผู้แทนราษฎรจะมาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชนทั้งหมด แต่ประชาชนไม่ได้รับรู้ในวันที่เขาเข้าคูหาเพื่อเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ว่าการตัดสินใจดังกล่าวเป็นการมอบอำนาจให้ สส. หรือเป็นการเลือก สส. ที่จะมีอำนาจในการเลือก สสร. ด้วยเช่นกัน