นาย จตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เผยถึงการชุมนุมของกลุ่มประขาชนปลดแอก และธรรมศาสตร์ ในวันที่ 14 ตุลาคมนี้ ว่า ถือเป็นการนัดการชุมนุมกันครั้งแรกของทั้ง 2 ฝ่าย ซึ่งเป็นการชุมนุมยืดเยื้อ 7 วัน 7 คืน ตนยังคงยืนยันในสิทธิและเสรีภาพ สามารถชุมนุมได้อย่างสงบปราศจากอาวุธตามรัฐธรรมนูญ และตนเคารพการตัดสินใจของกลุ่มคนเสื้อแดงที่จะมาร่วมในการชุมนุม และขอยืนยันสนับสนุนแนวคิด 3 ข้อ คือ หยุดคุกคามประชาชน ให้นายกรัฐมนตรีลาออก และยุบสภา
แต่นอกเหนือจากนี้ตนไม่เห็นด้วย พร้อมกับมองว่าหากข้อเรียกร้องจุดยืนทั้ง 3 ข้อถูกจำกัดไว้ จะเกิดชัยชนะต่อผู้ชุมนุม และตนจะขอติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และหวังว่ารัฐบาลจะไม่ใช้ความรุนแรง ในการปราบปรามประชาชน
ส่วนการยื้อเวลาแก้ไขรัฐธรรมนูญไปอีก 1 เดือนนั้น จะทำให้รัฐบาลอายุสั้นลง เนื่องจากนายกรัฐมนตรีได้แถลงนโยบายต่อที่ประชุมแล้วว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นวาระเร่งด่วน กลับทำลายความน่าเชื่อถือของภาวะผู้นำประเทศ
ส่วนกรณีนายไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ที่ออกมาระบุว่าประชาชนที่ออกมาเรียกร้องแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้นเท่าหยิบมือ ว่า หากยังไม่แก้ไขคำพูดนี้นรกจะมาเยือนในวันที่ 14 ต.ค. วันหนึ่งหากประชาชนที่อดอยากทนไม่ได้และลุกฮือขึ้นมา คือสิ่งที่น่ากลัวของรัฐบาลที่แท้จริง ในวันนี้รัฐบาลไม่ว่าจะนำใครมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ก็ยังไม่เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของประเทศ เพราะนายกรัฐมนตรียังเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ เมื่อคนไม่เป็นงานเศรษฐกิจมาเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ
ส่วนการจัดตั้งรัฐบาลแห่งชาตินั้น มองว่าเป็นไปได้ยาก แต่มักหยิบยกมาพูดเมื่อเกิดวิกฤตศรัทธาต่อระบบรัฐสภา และรัฐบาล แต่สุดท้ายรัฐบาลไม่เกิดขึ้น แต่มักจบลงด้วยการรัฐประหาร จึงไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่ารัฐบาลแห่งชาตินั้นดีหรือไม่ดีอย่างไร เพราะเมื่อมีการยกขึ้นมาคนต่างไม่เห็นด้วยคนไทยมักปฏิเสธ และมักมีอัศวินมาขาวจบลงด้วยการรัฐประหาร รัฐบาลแห่งชาติจึงเกิดขึ้นไม่ได้
ทั้งนี้ ผู้นำเหล่าทัพที่โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งขึ้นมานั้นประกาศจุดยืนไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง ต้องติดตามสถานการณ์ครั้งนี้ เพราะทหารเมื่อได้ถวายสัตย์ปฏิญาณตนถึงความจงรักภัคดี ต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง
ส่วนกรณี พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตผู้บัญชาการทหารบก ที่ยึดอำนาจรัฐบาลทักษิณ สนับสนุนแนวทางการปรองดอง นั้น ถือว่าพล.อ.สนธิ ได้สำนึกในสิ่งที่ตนกระทำการยึดอำนาจที่ผ่านมา และต้องการให้บ้านเมืองเดินหน้าต่อไปได้ และรู้จักการให้อภัย ไม่ต้องการให้ประเทศมีความเกลียดชัง แต่ทั้งหมดขึ้นอยู่กับผู้นำรัฐบาลในครั้งนี้ ว่าจะมีจิตใจเหมือนพลเอกสนธิหรือไม่