เมื่อ 11 ส.ค. 2563 นาย จตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เฟชบุ๊คไลฟ์ PEACETALK ถึงอาการสุดโต่งของทั้ง 2 ฝ่ายจะก่อวิกฤตขึ้น แล้วจบลงโดยถูกรัฐประหาร
นายจตุพร กล่าวว่า ประวัติศาสตร์การเมืองของไทย แต่ละขบวนการมีฝ่ายสุดโต่งตลอดเวลา ในยุคฝ่ายซ้าย คือ พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) และฝ่ายขวา คือ เผด็จการพวกฟาสซีส อีกทั้งในซ้ายและขวานั้น ยังมีสุดโต่งแบบซ้ายจัดและขวาจัดด้วยกัน
รังสิมันต์ โรม ซัด ส.ว. ล่าแม่มดนักศึกษาชุมนุม ชี้ยกเหตุการณ์6 ตุลา ขู่จะบานปลาย
ในขณะนี้ ตนสงสัยสถานการณ์ทางการเมือง ว่า เวลานี้ใครเล่นเกมอะไรกันอยู่ รวมทั้งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) ส่งหนังสือลามไปเล่นงานเมียของตน ให้แสดงบัญชีทรัพย์สินเมื่อครั้งตนเป็น ส.ส. ซึ่งผ่านมาแล้ว 8 ปี และไม่มีกฎหมายบังคับให้แสดง อีกอย่าง ปปช. กลับจงใจให้เวลาชี้แจงแค่วันเดียวเท่านั้น
“สิ่งนี้อยากให้ตนเกิดความกังวลใจ ต้องการให้ตนทนไม่ได้ แล้วออกมาฟาดงวง ฟาดงา หรืออยากหาเรื่องกันอย่างเดียว ถ้าคุณเล่นงานผมได้ ก็เล่นเมื่อ 10 ปีที่แล้ว เวลานี้ที่มาปั่นป่วน อย่าไปฟาดคนอื่น มาฟาดผมสิ ผมก็แปลกใจ คุณจะมาหาเรื่องอะไร คุณต้องการอะไร”
นายจตุพร กล่าวว่า ในสถานการณ์ที่ทวีความรุนแรงขึ้นนี้ จึงนำเรื่องของตนมาเล่าให้ฟัง เพราะสงสัยว่า ความพยายามของคนกลุ่มหนึ่ง ต้องการบีบบังคับไม่ให้ตนกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งหรือไม่
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่พยายามเตือนมาตลอดนั้น ถ้าข้อเรียกร้องล้ำเส้นไปสู่สถาบันพระมหากษัตริย์แล้ว ก็จะเปิดช่องให้ฝ่ายที่ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นคู่ขนานกัน แล้วส่อให้จบเหมือนเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519
ดังนั้น เมื่อสุดโต่งทางหนึ่งเกิดขึ้น ก็ต้องเผชิญกับสุดโต่งอีกทางเช่นกัน ซึ่งปรากฎการณ์นี้ประเมินไม่ยาก คนผ่านการเมืองมามองเห็นและประเมินได้ ดังนั้นข้อเรียกร้อง 3 ข้อเดิมมีความแข็งแรง ทุกฝ่ายต่างสยบยอม ประชาชนขานรับ และกำลังประสบความสำเร็จ
“เราเห็นกระดานนี้มายาวนาน ที่ออกมาเตือนถึงการเปิดประตูเรียกอีกฝ่ายออกมาต่อต้าน ผมจึงเสียดายปรากฎการณ์พลังคนหนุ่มสาวมากที่สุด และสถานการณ์ขณะนี้กำลังทำให้ประเทศเดินไปสู่จุดปะทะกันให้ได้โดยไม่จำเป็นเลย”
นายจตุพร ย้ำว่า เมื่อวันนี้คนต้องการประชาธิปไตย ถ้าสถานการณ์เดินเลยเส้นไปแล้วจะกลายเป็นชนวนอย่างรวดเร็ว ท้ายที่สุดจะบีบบังคับแล้วท้าทายกันขึ้น แล้วจบลงด้วย 6 ตุลา และปิดฉากแบบรัฐประหาร
ดังนั้น เวลานี้สถานการณ์บ้านเมืองแปลกประหลาด และเกิดการแทรกแซงวุ่นวายกันไปหมดในสถานการณ์ที่เปราะบางขณะนี้ ตนจึงห่วงใยการชุมนุมของขบวนการต่อสู้ของคนหนุ่มสาว และขอย้ำว่า ต้องประเมินสถานการณ์บนความเป็นจริงเสมอ
พร้อมกับยืนยันว่า ข้อเรียกร้อง 3 ข้อของขบวนการนักศึกษานั้นมีความชอบธรรม แนวโน้มมีความสำเร็จ แต่การเลยเส้นจึงเป็นการสร้างความไม่ชอบธรรมให้เกิดขึ้น แล้วท้ายที่สุดจะไม่ได้อะไร แต่จะเสีย ประชาธิปไตยไปทั้งกระดาน
เมื่อเรามีช่องทางจะได้ รธน. ซึ่งอาจจะดีกว่าปี 2540 เพราะรู้บทเรียนของปี 2540 แล้ว ดังนั้นต้องใช้ช่องทาง แก้ ม. 256 ซึ่งความเป็นจริงจะเกิดขึ้น และวันนี้ยังยืนยันถึงการชุมนุมล้ำเส้น ถ้าเลยไปเรื่อยๆแล้วสถาการณ์น่าห่วงใยที่สุด
“ผมรู้ว่าอะไรกำลังจะเกิด ที่ยั่วยุผมต้องการให้ไปผสมโรง บีบให้เกิดเรื่องเร็วขึ้น แต่ผมยืนยันว่า สันติวิธีนำไปสู่การแก้ปัญหาชาติได้ผมเลือกหนทางนี้ก่อนเสมอ เพราะผ่านมา 2 เหตุการณ์มีเสียชีวิตร่วม 200 แล้ว แต่สิ่งสำคัญ คือ เอา 3 ข้อหลักเดินไปจะประสบความสำเร็จที่จะเกิดประโยชน์กับประเทศไทย และประวัติศาสตร์จะจารึกว่า ในปี 2563 นักเรียน นิสิต นักศึกษา ได้ลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงการเมืองของไทยได้”
นายจตุพร ย้ำว่า ความสำเร็จต้องยึดตามข้อเรียกร้อง 3 ข้อ ถ้าสุดโต่งกันแล้ว สุดโต่งอีกฝ่ายหนึ่งจะออกมา เมื่อสุดโต่งทั้งสองฝ่ายออกมา ก็จะจบลงแบบ 6 ตุลาแล้วปิดท้ายด้วยรัฐประหาร นี่คือความห่วงใย ในอาการที่น่าเป็นห่วง
ชี้แจงข้อเท็จจริง! ม.ธรรมศาสตร์ แถลงการณ์กรณีจัด ชุมนุมธรรมศาสตร์
เพจ CARE คิด เคลื่อน ไทย เชิญชวน ประชาชนประกาศเอกราช-อิสรภาพ เพื่อรธน. ฉบับในฝัน