เมื่อวันที่ 4 มิ.ย. 2564 นาย มงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบบัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ได้โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า
สิ่งที่ผมเสียใจที่สุดในชีวิตตั้งแต่เป็น ผู้แทนราษฎร 1 เสียง คือ การตัดสินใจผิด ในเลือก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็น นายกรัฐมนตรี ถือเป็นความผิดมหันต์ยากที่จะให้ประชาชนให้อภัยผมผมก็ขอยอมรับผิด ไม่แก้ตัว ซึ่งผมก็ไม่คิดว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะบริหารประเทศจนประเทศเป็นหนี้สินล้นพ้นตัวแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ของชาติไทย
ทั้งประชาชนส่วนใหญ่ก็เป็นหนี้เป็นสินจำนวนมาก บางส่วนก็ใช้เงินเก็บจนเกือบหมดทั้งครอบครัวแล้ว การบริหารสถานะการณ์โควิดก็บริหารจนประชาชนติดเชื้อเกือบ 2 แสนคน ตายไปพันกว่าคน ตายเพิ่มทุกวัน วัคซีนก็มาล่าช้าเพราะประมาทหรือคิดถึงแต่ผลประโยชน์ทางการเมือง ผู้ติดเชื้อก็เพิ่มขึ้นทุกวันไม่มีทีท่าจะลดลง จนประชาชนเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า แทบสิ้นเนื้อประดาตัว มันแย่จริงๆตั้งแต่ผมเกิดมาในประเทศไทยกว่า 39 ปี และเมื่อ วันที่ 27 พ.ย.63 ถึงปัจจุบัน
พี่เต้ มงคลกิตติ์ ชวนชาวเน็ตเป็นนักสืบ เอ๊ะ! ใช่ รัฐมนตรีติดโควิด คนนั้นหรือเปล่า
ผมจึงตัดสินใจลาออกจากพรรคร่วมรัฐบาล มาเป็นฝ่ายค้านเต็มตัว เพียงพรรคเดียวเท่านั้นที่กล้าออกมา แม้จะเจออุปสรรคหลายๆ อย่างที่ผมไม่อาจบอกได้ แต่ผมก็จำเป็นต้องออกมาเพราะไม่ต้องการมีส่วนร่วมในการพยุงอำนาจให้พล.อ.ประยุทธ์ ใช้อำนาจต่อไป
ผมคิดว่ามันถึงเวลาแล้ว ที่ท่าน นายกฯ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนส่วนรวม ถ้าท่านคิดว่าประชาชนรักท่านจำนวนมากจริง แบบที่ io ฝ่ายท่านรักท่าน แบบที่ พี่แรมโบ้สำรวจมาแล้วบอกท่าน หรือท่านคิดว่าท่านบริหารประเทศดีมาก ประชาชนอยู่ดีมีสุข กินอิ่ม นอนอุ่น มีเงินเก็บ มีอนาคตสดใส ไม่มีทุจริตเลยแม้แต่โครงการเดียว หรือสิ่งที่ผมกล่าวมาไม่มีความจริงอยู่เลย เพื่อเป็นการพิสูจน์ความจริง ท่านนายกฯครับ ท่านประกาศ ยุบสภา เลยครับ คืนอำนาจให้ประชาชนตัดสินใจใหม่ ในการโหวตนายกฯครั้งหน้า
ถ้าท่านแน่จริง แมนๆ ไม่ใจปลาซิล ท่านอย่าใช้ สว.เลือกท่านอีกนะครับ ส่วนผมนั้นผมไม่กังวล ถ้าประชาชนไม่เลือกกลับมา ผมก็พร้อมกลับบ้านไปเป็นพลเมืองปกติประกอบสัมมาอาชีพ ไปดูแลครอบครัว พ่อแม่ลูกเมียต่อไป ณ เวลาที่เหลืออยู่ ในการทำหน้าที่ ผู้แทนราษฎร ฝ่ายค้าน เพื่อประชาชน ผมก็จะทำจนสุดความสามารถให้ดีที่สุด เมื่ออยู่ในหน้าที่
ขอบคุณภาพและเนื้อหาจาก มงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์
