ย้ายประเทศกันเถอะ —- นาย ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช.ได้โพสต์ แสดงความคิดเห็น กรณีที่มีผู้สร้างกลุ่มย้ายประเทศกันเถอะในเฟสบุ๊ก หลังเกิดกระแสความอยากย้ายประเทศ เนื่องจากไม่พอใจปัญหาการแก้วิกฤตโควิด19 ของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จนทำให้ในเวลานี้มีผู้กลุ่มดังกล่าวมากกว่า 5 แสนคนภายในเวลาเพียง 1 วัน
ทั้งนี้ นายณัฐวุฒิได้แสดงความคิดเห็นในประเด็นดังกล่าวดังนี้
หลายปีก่อนเสื้อแดงทำอะไรก็ผิด ถูกฆ่าคดีไม่ถึงศาล แบกรับการดูถูกเหยียดหยาม จนบางคนประชดขึ้นป้าย “ประเทศนี้ไม่มีความยุติธรรม กูขอแยกเป็นประเทศล้านนา” มีคนไปแจ้งความ ร้องป.ป.ช. กลายเป็นเรื่องใหญ่
วันนี้คนหนุ่มสาวใช้เวลา 2 วันรวมตัวกันในเพจ”ย้ายประเทศกันเถอะ”เกินครึ่งล้าน เป็นห่วงว่าใครจะหน้ามืดหาเรื่องจับเด็กอีก ถ้าไม่มีปัญญาหรือไม่คิดจะสร้างอนาคตที่ดีกว่าก็อย่าไปเพิ่มปัญหาเลย กรรมจะตกถึงลูกหลาน
ในเพจนั้นคงมีทั้งแบบคิดจริงจังซึ่งน่าจะเป็นส่วนใหญ่ ประชด เกาะกระแส ฯลฯ ก็คงมีบ้าง แต่รวมความคือพวกเขาศึกษาอดีต เห็นปัจจุบัน และมีข้อสรุปร่วมกันว่าไม่เห็นอนาคตประเทศไทย
ผมเข้าใจพวกเขานะ เพราะวันนี้คนกลุ่มเดียวที่มีอนาคตคือพล.อ.ประยุทธ์กับพวกและกลุ่มพลังอำนาจที่อุ้มชูสนับสนุน คนพวกนี้สมประโยชน์กันและสร้างอนาคตของตัวเองบนฐานอำนาจของกันและกัน
พล.อ.ประยุทธ์อิงพลังที่อุ้มอยู่ ส่วนพลังนั้นก็แอบอยู่กับอำนาจรัฐที่พล.อ.ประยุทธ์ถือไว้ มีรัฐธรรมนูญ 60 เป็นหลักประกัน ใช้การเลือกตั้งฟอกขาว เอา ส.ว. 250 คนเป็นนั่งร้าน ล็อคยุทธศาสตร์ชาติไว้ 20 ปี
คนหนุ่มสาวรับไม่ได้และไม่เห็นวี่แววความเปลี่ยนแปลงก็คงอยากย้ายเพราะประเทศส่วนใหญ่ไม่เป็นแบบนี้ แต่ถึงที่สุดพวกเขาจะเข้าใจตรงกันว่าไม่ใช่เรื่องง่าย และความรู้สึกนี้จะกลายเป็นพลังหันมาสู้เพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศให้มีอนาคตเพื่อคนทุกฝ่าย มีพื้นที่ให้คนทุกกลุ่ม มีความเท่าเทียมให้คนทุกคน
ผมเชื่อว่าการต่อสู้นั้นกำลังเกิดขึ้นในขณะนี้ไม่ว่าการชุมนุมแต่ละครั้งคนจะเพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างไรพลังบริสุทธิ์นี้จะไม่หายไป และจะยิ่งขยายตัวในกลุ่มคนที่เติบโตตามกันมา รวมทั้งขยายผลในกลุ่มคนที่ผ่านชีวิตผ่านสังคมมาก่อน
ย้ายประเทศเป็นแสนเป็นล้านคนเป็นไปไม่ได้ แต่คนย้ายข้างความคิดมายืนด้วยกันเป็นไปได้ ถ้าพวกเขาเข้าใจเหตุผลและเข้าถึงความจริง
ผู้มีอำนาจควรเรียนรู้เพราะถ้ารอประชาชนให้บทเรียน อาจเป็นบทเรียนที่ราคาแพงจนคาดไม่ถึง
คนหนุ่มสาวก็ต้องเรียนรู้เช่นกันว่าหลักคิดหรือแนวทางการต่อสู้แบบไหนจะเกิดพลัง และนำสู่ความสำเร็จได้จริงโดยไม่ต้องผ่านบทเรียนที่เจ็บปวดเหมือนพวกผม
ผมไม่อยากเห็นอดีตของตัวเองในการต่อสู้ของคนหนุ่มสาว แต่อยากเห็นอนาคตที่งดงามของประเทศผ่านจิตวิญญาณของพวกเขา