นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ตามที่คณะรัฐมนตรี อนุมัติให้มีการกู้เงินจากธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) ในวงเงิน 1,500 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 48,000 ล้านบาท) เพื่อใช้แก้ปัญหา เยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมจากผลกระทบของไวรัสโควิด-19 น่าจะเป็นแนวทางที่ผิดพลาด และหลงทาง อยากให้พล.อ.ประยุทธ์ และหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ที่ขาดความรู้ความเข้าใจทางเศรษฐกิจได้ทบทวนและได้ศึกษาก่อนที่จะดำเนินการ เพราะปัจจุบันประเทศไทยมีทุนสำรองระหว่างประเทศ 2.47 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ไม่มีความจำเป็นต้องกู้เงินตราต่างประเทศแต่อย่างใด
ทั้งนี้ เพราะการกู้เงินจากต่างประเทศจะมีความเสี่ยงต่อฐานะการคลังของประเทศในอนาคต อีกทั้งยังมีความเสี่ยงในอัตราแลกเปลี่ยนที่เศรษฐกิจไทยจะทรุดหนัก ซึ่งจะทำให้ค่าเงินบาทอาจจะอ่อนค่าลงได้ ซึ่งจะทำให้ขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน
นอกจากนี้ การกู้เงินจากต่างประเทศจะยิ่งทำให้ค่าเงินบาทที่แข็งค่าอยู่แล้ว จะยิ่งแข็งค่ามากขึ้นไปอีก เป็นอุปสรรคซ้ำเติมการส่งออกที่ย่ำแย่ติดลบหนักอยู่แล้ว ซึ่งเรื่องเหล่านี้ตนได้เคยเตือนไว้ก่อนแล้ว แต่พล.อ.ประยุทธ์ อาจจะไม่มีความเข้าใจ อีกทั้ง รมว.คลังคนใหม่ก็ยังไม่เข้ามา เลยสงสัยว่านายกฯ จะถูกหลอกอีกแล้วหรือไม่
ทั้งนี้ โดยปกติการกู้เงินจากต่างประเทศจะมีค่าคอมมิชชั่นในการกู้ด้วย อยากทราบว่าค่าคอมมิชชั่นดังกล่าว ใครเป็นผู้ได้รับ อยากให้ตอบสังคม โดยแทนที่จะกู้เงินจากต่างประเทศ รัฐบาลสามารถออกพันธบัตรขายให้กับประชาชนทั่วไปได้ หรือ ถ้าเป็นห่วงสภาพคล่องในระบบ ก็สามารถขายให้กับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หรือ ให้ธปท.เพิ่มสภาพคล่องในระบบได้เหมือนที่ธนาคารกลางของหลายประเทศกำลังทำกัน
นอกจากนี้ การที่ธนาคารแห่งประเทศไทย ไม่ทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่า เพื่อให้ไทยสามารถฟื้นฟูเศรษฐกิจได้ แต่กลับปล่อยให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นมาอีก โดยกังวลว่าสหรัฐฯ จะหาว่าไทยตั้งใจจัดการค่าเงินให้อ่อน น่าจะเป็นความเข้าใจที่ผิด โดยธนาคารแห่งประเทศไทย น่าจะสามารถอธิบายให้สหรัฐอเมริกา รวมถึงประชาคมโลกให้เห็นได้ว่าเศรษฐกิจไทยย่ำแย่มาตลอด 6 ปี การขยายตัวต่ำมากมาโดยตลอด
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าปีนี้เศรษฐกิจไทยจะติดลบหนักที่สุดในเอเชีย และจะมีคนไทยตกงานกันมากถึง 8-10 ล้านคน ซึ่งค่าเงินบาทที่อ่อนจะสะท้อนภาพเศรษฐกิจของไทยที่แท้จริง ธนาคารแห่งประเทศไทยต้องไม่โกหกตัวเองเหมือนที่รัฐบาลพยายามโกหกตัวเองและโกหกประชาชน