เปิดใจ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.พรรคก้าวไกล หลังกลับเข้า รัฐสภา ครั้งแรกในรอบ 6 เดือน พร้อมเปิดใจแผนงานและสิ่งที่เสียดายที่สุด
สืบเนื่องจากวานี้ (วันที่ 24 มกราคม 2567) ศาลรัฐธรรมนูญนัดฟังคำพิพากษา คดีหุ้นไอทีวี จากกรณีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ส่งคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล เป็นผู้ถือหุ้นใน บริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) จำนวน 42,000 หุ้น ซึ่งเป็นบริษัทประกอบกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใด ๆ อยู่ในวันที่สมัครรับเลือกตั้ง สส.บัญชีรายชื่อ เป็นเหตุให้สมาชิกภาพ สส.สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 101 (6) ประกอบมาตรา 98 (3) หรือไม่
ศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่า คำร้องถูกต้องครบถ้วนตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2561 มาตรา 42 จึงมีคำสั่งรับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัยและเห็นว่าข้อเท็จจริงตามคำร้องและเอกสารประกอบคำร้อง หลักฐานทะเบียนผู้ถือหุ้น วัตถุประสงค์ตามหนังสือบริคณห์สนธิและงบการเงิน (แบบ ส.บช. 3) ของบริษัทไอทีวี จำกัด (มหาชน) เป็นเหตุเพียงพอให้ผู้ร้องควรเชื่อว่าผู้ถูกร้องเป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามเป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จึงปรากฏเหตุอันควรสงสัยว่ามีกรณีตามที่ถูกร้อง
ประกอบกับการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ถูกร้องอาจก่อให้เกิดปัญหาข้อกฎหมายและการคัดค้านโต้แย้งเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินงานสำคัญของที่ประชุมรัฐสภาและที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรได้ จึงมีคำสั่งให้ผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตั้งแต่วันที่ 19 กรกฎาคม 2566 จนกว่าศาสรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย
ซึ่งก็เป็นสิ่งที่คนทั้งประเทศรอคอยว่า ศาลนั้นจะตัดสินออกมารูปแบบใดเพราะ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ นั้นถือว่าเป็น แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ที่น่าจับตามองและมีแนวโน้มเข้าใกล้เก้าอี้นายกฯเพียงแค่เอื้อม แต่ก็ถูกสะกัดดาวรุ่งเสียก่อน และในที่สุด ผลพิจารณา ศาลรัฐธรรมนูญ ก็ได้วินิจฉัยว่า
นายพิธา ถือหุ้นไอทีวี ในวันที่ พรรคก้าวไกล ยื่นสมัคร สส. แบบบัญชีรายชื่อ และ สถานะของบริษัท ไอทีวี หยุดดำเนินการตั้งแต่ สปน. บอกเลิกสัญญา ทำให้สิทธิในคลื่นโทรทัศน์หมดไป มีคดีพิพาทในศาลปกครองสูงสุด แต่ท้ายสุดแม้ไอทีวีจะชนะคดีก็ไม่ได้คลื่นคืน ทำให้ไม่มีสิทธิประกอบกิจการโทรทัศน์ตามกฎหมาย นอกจากนี้ไม่มีปรากฏว่ามีรายได้จากประกอบกิจการสื่อมวลชน ดังนั้น ณ วันที่นายพิธา ลงสมัคร สส. ทำให้ไม่มีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยว่า สมาชิกภาพของนายพิธา ไม่สิ้นสุดลง
ล่าสุดวันที่ 25 มกราคม 2567 พิธา ก็ได้เดินกลับมาเข้ารัฐสภาอีกครั้ง และได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนในรอบ 6 เดือนหลังถูกสั่งให้พักหน้าที่ สส. ไป ซึ่งวันนี้พิธามีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส พร้อมกันทั้งเพื่อนๆ สส. จากพรรคก้าวไกล ต่างเข้ามาให้กำลังใจอย่างล้นหลาม โดยในวันนี้สื่อมวลชนก็ได้ถามหลายทั้งคำถาม ทั้งด้านของการทำงาน และความรู้สึกที่ผ่านมาโดย พิธา นั้นกล่าวว่า
พิธา เปิดใจกลับเข้ารัฐสภาเป็นครั้งแรก
วันนี้รู้สึกเหมือน ไออุ่นที่คุ้นเคย ก็น่าจะร่วมเวลาแล้วตั้งแต่ กรกฎาคมก็น่าจะประมาณ 6 เดือน แล้วที่ไม่ได้มีโอกาสแถลงข่าวในสภาฯกับพี่น้องสื่อมวลชน ก็รู้สึกว่าสภาฯยังเป็นพื้นที่รวมตัวของประชาชน คิดถึงบรรยากาศแบบนี้ครับ วันนี้ใส่เนกไทเส้นเดิม เส้นเดียวกับวันที่ออกไป ออกไปยังไงก็กลับมาแบบนั้น ไม่ได้คิดว่าเป็นกิมมิคอะไร แต่พอเห็นก็นึกขึ้นได้ว่าเราใส่เนกไทเส้นนี้ในวันนั้น
เวลาที่เสียไปเสียดายก็คืออย่างเช่นที่เป็นรูปธรรมเลยก็คือโอกาสในการเลือกนายกรัฐมนตรีครั้งที่ 2 ซึ่งก็ไม่มีใครบอกได้ว่าผลมันจะออกมาเป็นยังไง หรือถ้าครั้งที่ 2 มันดีขึ้นก็อาจมีครั้งที่ 3 ใช่ไหมครับ แต่เราบริหารจัดการสถานการณ์ได้ตรงที่ว่า 6 เดือน ก็ใช้ในการพบปะพี่น้องประชาชน ทำงานกับเพื่อน สส. ในการลงพื้นที่ ก็เดี๋ยวจะนำเรื่องที่ได้เห็นปัญหา อาทิ เรื่องขยะล้นเมือง เข้ามาอภิปรายซึ่งก็ไม่ได้เป็นอะไรที่น่าเสียดาย
พรุ่งนี้จะมีการแถลงแผนงานของ พรรคก้าวไกล เพื่อประชาชนและสมาชิกจะได้มีส่วนร่วมได้ในการทำงานของพวกเราเมื่อถามถึง ตำแหน่งหัวหน้าพรรคก้าวไกล พิธา ก็ได้กล่าวว่า ผมไม่ได้ยึดติดกับตำแหน่ง คุญชัยธวัช ตุลาธน เขาทำงานได้ดีตรงไปตรงมาและทั้งผมทั้งคุญชัยธวัช ไม่ได้ยึดติดอะไรครับ นอกจากนั้นก่อนจบการสัมภาษณ์ พิธา ยังได้กล่าวส่งท้ายว่า “การทำงานของพวกเราไม่ได้ทำเพื่อล้มรัฐบาลแต่เพื่อประเทศชาติและภาษีของประชาชนครับ”
