10 กย. 63 นาย ปิยบุตร แสงกนกกุล แกนนำคณะก้าวหน้า โพสต์ข้อความผ่านเพจ Piyabutr Saengkanokkul – ปิยบุตร แสงกนกกุล ว่า [ การบัญญัติหมวด “การลบล้างผลพวงรัฐประหารและการป้องกันรัฐประหาร” ลงในรัฐธรรมนูญ ]
ปิยบุตร ลั่น ร่างรธน.ใหม่ทั้งฉบับ-แก้รายมาตรา ทำพร้อมกันได้ พร้อมเอาใจช่วยม็อบ
ประเทศไทยเกิดรัฐประหารมากกว่า 10 ครั้ง เปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญจากฉบับหนึ่งไปอีกฉบับหนึ่งด้วยวิธีการรัฐประหารเกือบทุกครั้ง ช่วงเวลาที่ทหารปกครองประเทศแบบเผด็จการทหารและช่วงเวลาการสืบทอดอำนาจมีมากกว่าช่วงเวลาของรัฐบาลพลเรือนจากการเลือกตั้ง
กล่าวกันว่า “รัฐประหาร” กลายเป็นเรื่องปกติ พร้อมจะเกิดขึ้นเวียนวนมาได้ทุกครั้งเมื่อได้เวลาทหารผู้ก่อรัฐประหาร มีความผิดฐานกบฏในราชอาณาจักร มีโทษจำคุกตลอดชีวิตหรือประหารชีวิต ตาม ป. อาญา มาตรา 113 แต่กลับไม่เคยถูกดำเนินคดีและรับโทษ เพราะ เมื่อยึดอำนาจแล้ว ก็ตั้งตนเป็นใหญ่ สั่งนิรโทษกรรมให้แก่ตนเอง
เมื่อครั้งสมัยที่ผมยังเป็นอาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มธ. ผมได้ร่วมกับเพื่อนอาจารย์ในนาม “คณะนิติราษฎร์” พวกเราได้ทำข้อเสนอที่ชื่อว่า “การลบล้างผลพวงรัฐประหาร” เผยแพร่เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2554
ผมได้นำข้อเสนอเหล่านี้ มาปรับปรุงเพิ่มเติม และเสนอเป็นความเห็นในรายงานความเห็นส่วนตนโดยสังเขป เพื่อเสนอต่อคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาปัญหา หลักเกณฑ์ แนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 ดังนี้
เพิ่มเติมหมวด 17 การลบล้างผลพวงรัฐประหารและการป้องกันรัฐประหาร
- ประกาศให้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 มาตรา 48 (บทบัญญัตินิรโทษกรรมให้กับรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557) เสียเปล่าและถือว่าไม่เคยเกิดขึ้นและไม่เคยมีผลในทางกฎหมาย เมื่อบทบัญญัตินิรโทษกรรมให้กับคณะรัฐประหารตกเป็นโมฆะแล้ว ย่อมหมายความว่า การรัฐประหารในวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ยังคงมีความผิดฐานกบฏในราชอาณาจักรตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 113 คณะผู้ก่อการรัฐประหารจึงถูกดำเนินคดีได้
อนึ่ง การประกาศให้การนิรโทษกรรมการรัฐประหารเป็นโมฆะเช่นนี้ ไม่เป็นการใช้กฎหมายย้อนหลังเป็นโทษแต่อย่างใด เพราะไม่ได้มีการตรากฎหมายกำหนดฐานความผิดใหม่แล้วย้อนไปใช้กลับการกระทำที่เกิดขึ้นไปแล้ว แต่เป็นเพียงกรณีประกาศให้การนิรโทษกรรมเป็นโมฆะ ส่วนกฎหมายที่กำหนดฐานความผิดฐานกบฏในราชอาณาจักรนั้น ก็มีอยู่ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 113 อยู่แล้ว
- บัญญัติให้ปวงชนชาวไทยมีสิทธิและหน้าที่ในการต่อต้านโดยวิธีการใดๆต่อการแย่งชิง (usurpation) อำนาจสูงสุดของประชาชน
- บัญญัติให้การแย่งชิงอำนาจสูงสุดของประชาชนเป็นความผิดอาญา ภายหลังการรื้อฟื้นอำนาจที่ชอบธรรมกลับมาได้แล้ว ก็ให้ดำเนินคดีต่อบุคคลที่แย่งชิงอำนาจสูงสุดของประชาชนดังกล่าว โดยให้อายุความเริ่มนับตั้งแต่มีการรื้อฟื้นอำนาจอันชอบธรรมนั้น
- ห้ามมิให้ศาลพิพากษารับรองการรัฐประหารโดยกองทัพ และห้ามมิให้ศาลพิพากษารับรองให้คณะรัฐประหารเป็นรัฏฐาธิปัตย์
- บัญญัติให้ทหาร ตำรวจ ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ มีสิทธิและหน้าที่ในการไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือไม่ชอบด้วยกฎหมายและไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญอย่างประจักษ์ชัด
- บัญญัติให้ทหาร ตำรวจ ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ ต้องไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของคณะทหารหรือคณะบุคคลใดที่ก่อการรัฐประหารยึดอำนาจการปกครองประเทศ แย่งชิงอำนาจสูงสุดของปวงชนชาวไทยไป หรือยกเลิกรัฐธรรมนูญโดยไม่เป็นไปตามวิถีทางที่รัฐธรรมนูญกำหนด
- บทบัญญัติในหมวดนี้มีสถานะเป็น “กฎหมายจารีตประเพณีทางรัฐธรรมนูญ” หรือ “หลักการพื้นฐานของรัฐธรรมนูญไทย” แม้รัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษรจะถูกยกเลิก บทบัญญัตินี้ก็ยังคงมีผลในระบบกฎหมายไทยต่อไป
แน่นอนที่สุด การป้องกันรัฐประหารคงไม่สามารถใช้กลไกทางรัฐธรรมนูญได้แต่เพียงอย่างเดียว ยังจำเป็นต้องปฏิรูปกองทัพ ปลูกฝังวิธีคิดแบบประชาธิปไตย ประกอบกันด้วย
แต่อย่างน้อยที่สุดมาตรการทางรัฐธรรมนูญและทางกฎหมาย ก็สามารถช่วยป้องกันรัฐประหารได้ ดังที่ปรากฏในหลากหลายประเทศ
ในช่วงยามที่มีข่าวลือ “รัฐประหาร” พร้อมๆกับมีบรรยากาศการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ควบคู่ไปกับการชุมนุมของนักเรียน นิสิต นักศึกษา ประชาชน เช่นนี้ การพิจารณาข้อเสนอเรื่อง “การลบล้างผลพวงรัฐประหารและการป้องกันรัฐประหาร” ก็น่าจะถูกกาลเทศะ
เริ่มแล้ว! เพื่อไทย ก้าวไกล รวมเสียงพรรคร่วมฝ่ายค้าน 6 พรรค ปิดสวิตช์สว.
ปารีณา สวนกลับ! เต้มงคลกิตติ์ ชี้วันชัย ส.ว.ต้องลาออก อย่าครึ่งๆกลางๆ