ปิยบุตร แสงกนกกุล จวกส.ว.โหวตตั้ง “สุชาติ” อดีตสนช. นั่งป.ป.ช.เป็นระบบผลัดกันเกาหลัง เผยพรุ่งนี้เปิดแคมเปญ “มีส.ว.ไว้ทำไม” อย่างเป็นทางการ
เมื่อวันที่ 4 มิ.ย. นายปิยบุตร แสงกนกกุล แกนนำคณะก้าวหน้า และอดีตเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) ในฐานะที่ปรึกษาประจำคณะกรรมาธิการ การกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน กล่าวถึงกรณีสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) มีมติให้นายสุชาติ ตระกูลเกษมสุข อธิบดีผู้พิพากศาศาลแพ่ง มีนบุรี ดำรงตำแหน่งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ว่า ถือเป็นความผิดเพี้ยนของรัฐธรรมนูญ ด้านหนึ่งต้องรักษาความเป็นกลาง ความเป็นอิสระ ไม่มีส่วนได้เสีย แต่สุดท้ายส.ว. เลือกนายสุชาติ ซึ่งเคยเป็นสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มาเป็นกรรมการป.ป.ช. เท่ากับเป็นระบบผลัดกันเกาหลัง วนกันอยู่เพียงกลุ่มคนเดิมๆ ซึ่งปัญหาต่อมาก็ต้องดูว่ามีองค์กรไหนมาชี้ขาดให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน เพราะทราบว่าคณะกรรมการสรรหากรรมการสิทธิมนุษยชน (กสม.) ก็มีมาตรฐานไปอีกแบบหนึ่ง เพราะตัดสิทธิ์ผู้ที่เคยเป็นสนช. ไม่สามารถดำรงตำแหน่งกสม. ได้
“อยากให้ไปย้อนดูจุดเริ่มต้น สนช. หน่วยธุรการที่เขานำไปใช้ก็คือสำนักงานเลขาวุฒิสภา ถือเป็นนัยยสำคัญอันหนึ่งว่า สนช. เท่ากับส.ส.หรือส.ว. กันแน่ ทั้งนี้ ตั้งแต่ยึดอำนาจมา ก็วนกันอยู่ที่เดิม โดยพรุ่งนี้วันที่ 5 มิ.ย. หากจำกันได้ มีการเลือก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี โดย 500 เสียง มี 249 เสียงเป็นวุฒิสภา เว้นประธานวุฒิสภาที่งดออกเสียง จึงเห็นได้ว่าส.ว. ที่เลือกโดยคสช. จึงชัดเจนที่สุดว่าวุฒิสภาชุดนี้ตั้งมาเพื่อการสืบทอดอำนาจของคณะรัฐประหาร” นายปิยบุตร กล่าว
นายปิยบุตร กล่าวว่า พรุ่งนี้ (5 มิ.ย.) เราจะเปิดแคมเปญ “ส.ว. มีไว้ทำไม” อย่างเป็นทางการ และวันที่ 6 มิ.ย. จะมีการจัดสัมมนาออนไลน์ ทั้งนี้จะมีผู้ร่วมสัมมนา เช่นนายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง อดีตวุฒิสภาและอดีตสภาร่างรัฐธรรมนูญ ร่วมงานเสวนา เพื่อให้สังคมพิจารณาว่าส.ว.ทำหน้าที่มา 1 ปีแล้วเพื่อประกันการสืบทอดอำนาจ ซึ่งสังคมจะเอาอย่างไรกับเรื่องนี้และจำเป็นอยุ่หรือไม่ที่จะมีส.ว.อยู่
นายปิยบุตร ยังกล่าวถึงคดีความว่า ตั้งแต่ยุบพรรคอนาคตใหม่ ก็ยังมีคดีความค้างคาคือเรื่องดูหมิ่นศาล กรณีวิจารณ์การยุบพรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) รวมทั้งได้ทราบข่าวว่า มีส.ส.ไปแจ้งความตนอีกหลายเรื่อง ไม่คิดว่า การมาเป็นนักการเมืองจะถูกฟ้องมากขนาดนี้ ซึ่งกฎหมายหมิ่นประมาทออกมาเพื่อคุ้มครองตัวบุคคล แต่ไม่ได้มีไว้เพื่อกลั่นแกล้งหรือ ปิดปากคนอื่น โดยเฉพาะกับบุคคลที่เป็นบุคคลสาธารณะที่ใช้อำนาจรัฐด้วย ควรจะมีความอดทนอดกลั้น ไม่เช่นนั้นก็ไม่ควรมาเล่นการเมือง เพราะในระบบประชาธิปไตยการแสดงความคิดเห็นถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ และให้สังเกตดูตั้งแต่ปี 2557 มีคดีความเรื่องหมิ่นประมาทเยอะมาก รวมทั้งใช้พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ และกฎหมายอาญามาตรา 116 เกี่ยวกับการยุยงปลุกปั่น ซึ่งนานวันเข้ากฎหมายเหล่านี้จะเป็นกฎหมายปิดปากผู้ที่แสดงความคิดเห็น ซึ่งไม่เพียงแต่ตนเท่านั้น สื่อมวลชนต้องตระหนักด้วย เพราะกระทบต่อการทำหน้าที่ ทั้งนี้ ตั้งแต่ตนเล่นการเมืองมาก็ถือว่าเป็นนักการเมืองคนหนึ่งที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์มากที่สุด แต่ก็ไม่เคยฟ้องหมิ่นประมาทใครเลย เพราะตนเชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตย เชื่อว่าสามารถถูกตรวจสอบ และวิพากษ์วิจารณ์ได้