รังสิมันต์ โรม ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก ถึงการออกมาชุมนุมทางการเมืองของเยาวชน นักเรียน นิสิต นักศึกษา และส่งสารถึงผู้ปกครอง ระบุว่า เนื่องในโอกาสที่ วันพรุ่งนี้จะครบรอบ 14 ปี รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ผมมีหลายเรื่องที่อยากสื่อสารไปยังกลุ่มคนสองกลุ่มครับ
รังสิมันต์ โรม ลั่น ไม่เห็นด้วยทำร้ายร่างกาย ผู้กองปูเค็ม ผุด #หยุดคุกคามประชาชน
รังสิมันต์ โรม ตัดพ้อ ต้องลุ้น รัฐประหาร ทุกครั้ง ก่อน ผบ.ทบ. เกษียรเลยหรือ?
กลุ่มแรกก็คือคนรุ่นพ่อแม่ลุงป้าน้าอาของผมครับ
ผมอยากสื่อสารถึงทุกท่านในฐานะคนที่เคยทำกิจกรรมนักศึกษาทางการเมืองมาก่อน ผมอยากบอกทุกท่านว่า หลายท่านอาจรู้สึกว่าการเมืองนั้นทำให้ลูกหลานของท่านกล้าที่จะตั้งคำถามกับคำสอนที่ท่านมี กล้าที่จะถกเถียง แลกเปลี่ยน หรือโต้ตอบกับพวกท่านในระดับที่ท่านอาจคิดว่า “คนรุ่นเรานะ ไม่เคยทำแบบนี้กับพ่อแม่เลย ก้มหน้าฟังอย่างเดียว ไม่งั้นโดนฟาดโดนตีไปแล้ว” ผมอยากบอกกับพวกท่านว่า แท้จริงแล้ว ลูกหลานของท่านไม่ได้หัวรุนแรง ไม่ได้เป็นคนที่ทำตัวแย่เลย เพียงแต่ตั้งแต่รุ่นของท่านมาจนถึงรุ่นของผมเอง พวกเราส่วนมากมักเติบโตมาด้วยความกลัว จนความกลัวนั้นกลายเป็นความนอบน้อม และพัฒนาต่อมากลายเป็นความจำยอม
รังสิมันต์ โรม ยินดี! อานนท์ , ไมค์ภาณุพงศ์ ได้รับการปล่อยตัว
เราหลายคนไม่กล้าพิสูจน์ความเชื่อต่าง ๆ ที่ถูกส่งต่อกันมา ตั้งแต่ในระดับวิถีชีวิตประจำวัน เช่น ตัดเล็บตอนกลางคืนเดี๋ยวเจอผี ตัดผมวันพุธเดี๋ยวโชคร้าย ไม่ควรผิวปากหรือหวีผมตอนกลางคืน เดี๋ยวเจอผีหลอก ไปจนถึงชีวิตในโรงเรียนที่โดนกล้อนผม ยัดเยียดความน่ารักเรียบร้อยให้ทั้งที่คนแต่ละคนไม่เหมือนกัน หรือไปจนถึงการกดขี่ของเจ้านายในการใช้แรงงาน
เรา..ต่างเติบโตและอยู่กับความกลัว จนเราเชื่อว่านั่นแหละคือ ระเบียบ วินัย ความอดทน ความเคารพนับถือ โดยที่เราไม่ได้คิดอย่างจริงจังเลยว่ามันสมเหตุสมผลจริง ๆ แค่ไหน
ในวันนี้เมื่อลูกหลานของท่านลุกขึ้นมาตั้งคำถามต่อสิ่งเหล่านั้น ลุกขึ้นมาเรียกร้องสิทธิ เรียกร้องในสิ่งที่ท่านเองก็รู้ดีว่าสังคมที่เจริญแล้วย่อมเป็นไปตามนี้ทั้งสิ้น ตั้งแต่ระดับโครงสร้างใหญ่ของสังคมการเมืองไปจนถึงการปฏิบัติต่อกันในบ้าน แน่นอนครับว่าสำหรับพ่อแม่ผู้ปกครองหลายท่านย่อมรู้สึกว่ากำลังถูกท้าทายและเกิดความกลัวว่าจะไม่อาจนำพาชีวิตของเขาไปยังจุดที่ท่านเห็นควรได้ ในจุดนี้แต่ละครอบครัวแต่ละครอบครัวคงมีความคาดหวังแตกต่างกันไป ผมคงไม่เข้าไปก้าวล่วง แต่ผมอยากที่จะชวนขบคิดกันสักนิดหนึ่งว่า อันที่จริงแล้ว เราก็ไม่ชอบเหมือนกันที่จะถูกก่นด่าอย่างไม่ได้รับการรับฟัง เราไม่ชอบที่จะถูกตบตีใช้กำลัง ยิ่งสิ่งนั้นมาจากคนที่เราใกล้ชิดและรักที่สุดย่อมไม่อยากให้มันกลายเป็นบาดแผลในใจ
ยิ่งบาดแผลนั้นมาจากการตัดพ่อตัดแม่กับลูกเพียงเพราะพวกเขาเชื่อในสิ่งที่แตกต่างจากพวกท่าน บาดแผลนั้นจะบาดลึกในใจพวกเขาแค่ไหน ผมอยากให้พวกท่านค่อย ๆ ตรองในใจของเราดู
ในวันหนึ่ง พวกเขาจะต้องมีชีวิตที่เป็นของเขา และเราต่างก็รู้ว่าเราจะอยู่กับเขาตลอดไปไม่ได้ จะไม่เป็นการดีกว่าเหรอครับที่เราจะสนับสนุนลูกหลานของเรา (น้อง ๆ และเพื่อน ๆ ของผม) ในการที่จะให้เขาได้ต่อสู้เพื่อสังคมที่เขาต้องการ แม้ว่าเราอาจจะหวังดี บางท่านเคยสู้และเจ็บปวด บางท่านรู้สึกว่าสู้ไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา บางท่านรู้สึกว่าการต่อสู้นี้คือการลบหลู่พวกท่าน แต่โลกย่อมหมุนของมันไป และวันใหม่ย่อมไม่จำเป็นต้องเหมือนวันเก่าเสมอไปไม่ใช่เหรอครับ
เรามาร่วมกันปกป้องพวกเขากันเถอะครับ ท่านก็รู้ดีว่าในวัยเดียวกันนั้น พวกท่านเองก็เริ่มรู้จักตัวตนของตัวเอง มีความคิดเป็นของตัวเองเช่นเดียวกัน มันไม่มีความจำเป็นใด ๆ เลยครับที่เราจะต้องกักขังตัวตนของพวกเขาไว้ด้วยความเจ็บปวดและอึดอัด มันจะดีกว่าไหมครับที่เราจะมองให้ชัดว่าใครกันที่จ้องจะทำร้ายลูกหลานและอนาคตของพวกเขา ผมเชื่อว่าสิ่งที่พวกเขาทำ จากที่สัมผัสมา พวกเขาเพียงต้องการอนาคตที่สดใส ที่รัฐจะแบ่งเบาภาระพวกเขาได้ เมื่อประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ พวกเขาจะสามารถมีกำลังเลี้ยงดู ดูแลพวกท่านได้ในวันข้างหน้า พวกเขาเองไม่ได้สู้เพื่อแค่ตัวเอง แต่ผมเห็นครับว่าพวกเขาก็กำลังสู้ให้กับอนาคตในบั้นปลายของพวกท่าน.. ถ้าอนาคตพวกเขาดี พวกท่านก็จะมีอนาคตที่ดีด้วย
แท้จริงแล้ว ผมเชื่อว่าพวกเขาก็คือข้างเดียวกันกับพ่อแม่ลุงป้าน้าอาทุกท่านครับ
และสำหรับคนกลุ่มที่สองคือ น้อง ๆ เพื่อน ๆ พี่ ๆ ที่กำลังต่อสู้อยู่ในทุกภาคส่วนของสังคม
เมื่อ 1 ปีก่อน (19 กันยายน 2562) ผมเคยกล่าวถึงการรัฐประหารครั้งนั้นว่าได้นำมาสู่ “ทศวรรษที่สูญหาย” และเรากำลังสูญเสียแต่ละวันเดือนปีออกไปเรื่อย ๆ โดยที่คนรุ่นใหม่ต่างรู้สึกสิ้นหวังว่าไม่อาจจะทำสิ่งใดเพื่อหยุดยั้งหรือเปลี่ยนแปลงสังคมได้ ถึงแม่ว่า “เวลา” จะอยู่ข้างเราก็ตาม
ผมเชื่อจริง ๆ ครับว่าเวลานั้นอยู่ข้างเรา แต่เราต้องไม่ปล่อยเวลาให้สูญเปล่า แม้หลายครั้งต้องผิดหวังก็ต้องเดินหน้าต่อ มุ่งมั่นสู่สิ่งที่เราตั้งใจเอาไว้ เชื่ออย่างสุดหัวใจว่าทำได้จริงแม้จะต้องใช้เวลาและความอดทน
แต่ว่าในวันนี้ อย่างน้อย ๆ ทุกคนได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า คนรุ่นใหม่ได้จุดแสงสว่าง แสงแห่งความหวังให้สังคมได้เห็นท่ามกลางความมืดมิดอันยาวนานอีกครั้ง ทุกคนมีแสงสว่างในตนเอง เปล่งประกายและส่งต่อความหวังให้กับผู้คนที่ทนทุกข์ทรมาน ไร้ซึ่งการเข้าถึงโอกาสในสังคมจำนวนมาก
วันนี้ทุกคนได้ทำให้เห็นแล้วครับว่า เพราะว่าความหวังยังมีไม่ใช่เพราะแค่เรายังหายใจ แต่ความหวังยังมีตราบที่เรายังสู้ต่อไป
ดังนั้นไม่ว่าต้องล้มลงอีกกี่ครั้ง เจ็บปวดอีกเท่าไหร่ ขอเพียงแค่เรายังสู้ต่อไป ผมเชื่อครับว่าประเทศไทยยังมีอนาคตและมีความหวัง
แล้วเวลาจะอยู่ข้างเรา
รังสิมันต์ โรม 18 กันยายน 2563