พรรค ก้าวไกล โพสต์ระบุว่า ตั้งแต่ โควิด19 เริ่มระบาดตลอดสองสามเดือนที่ผ่านมา คนไทยจำนวนมากที่ทำงานอยู่ต่างประเทศได้ทยอยกลับบ้านกันเรื่อยๆ ที่กลับได้ก็มีจำนวนมาก เช่นนักเรียนไทยในต่างประเทศ แรงงานไทยในบางประเทศ ฯลฯ แต่ส่วนที่ยังตกค้างอยู่ก็เหลืออีกจำนวนมากเช่นกัน
ระหว่างนี้ รัฐบาลได้ประกาศมาตรการควบคุมการเดินทางเข้าประเทศ จุดประสงค์เพื่อป้องกันประเทศไทยจากไวรัสระบาด โดยการปิดช่องทางเข้าประเทศ โดยคนไทยที่ต้องการกลับประเทศต้องมีมาตรการเช่น การต้องไปติดต่อกับสถานทูต การต้องไปพบแพทย์ตามคลินิกที่กำหนดเพื่อออกใบรับรองสุขภาพ Fit-to-fly ฯลฯ
ฟังโดยผิวเผิน ดูท่าจะเป็นมาตรการที่ดูมีประโยชน์มากเลยทีเดียวในการป้องกันไม่ให้คนไทยในต่างประเทศนำไวรัสมาแพร่ระบาดเพิ่มเติมเมื่อกลับประเทศไทย ทว่าหากลงลึกไปในรายละเอียดและฟังประสบการณ์โดยตรงของคนไทยในต่างแดนแล้ว จะพบว่ามาตรการนี้ไม่ต่างอะไรจากการ “สร้างภาระโดยไม่จำเป็น” แก่ประชาชนที่มีสัญชาติไทย จนอดสงสัยไม่ได้ว่ารัฐบาลมีความจงใจ “กีดกัน” คนไทยไม่ให้เดินทางกลับหรือไม่? หลายคนตีความฟันธงไปถึงขั้นที่ว่ารัฐบาลไม่ต้องการเพิ่มเลขยอดจำนวนผู้ป่วยติดเชื้อ-ผู้เสียชีวิต โดยการไม่รับคนไทยกลับเข้ามาใช่หรือไม่???
จะพบว่ามีเพียงแค่ 3 ขั้นตอนสั้นๆ ง่ายๆ เท่านั้น หนึ่ง ลงทะเบียนออนไลน์กับสถานกงสุลหรือสถานทูต สอง ขอใบรับรองแพทย์ และสาม เดินทางข้ามชายแดน เท่าที่กล่าวมาน่าจะไม่ต้องใช้ความพยายามมากนักในการดำเนินการ
อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างทางต่างหากที่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินการ ส่งผลให้คนไทยอีกจำนวนมากที่สถานการณ์ไม่อำนวยต้องทนรอความหวังที่จะได้กลับบ้านอย่างไม่มีกำหนดต่อไป
1) การลงทะเบียนออนไลน์ไม่สามารถตอบโจทย์ประชาชนทุกคนได้ ดังที่พบในกรณี “เราไม่ทิ้งกันดอทคอม” มาแล้ว ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีสมาร์ทโฟน ไม่ใช่ทุกคนที่จะเข้าถึงอินเตอร์เน็ตได้ กว่าผลลัพธ์จะออกก็ต้องรออีก 5-7 วัน และสุดท้ายแม้จะลงทะเบียนไปแล้ว กลับพบว่ามีผู้ลงทะเบียนเพียง 1 ใน 10 เท่านั้นที่ได้รับการอนุมัติ
2) สำหรับการขอใบรับรองแพทย์ มีปัญหามากกว่าการลงทะเบียนออนไลน์เสียอีก เริ่มต้นด้วยการจำกัดให้ต้องเดินทางออกภายในเวลา 72 ชั่วโมงหลังจากออกใบรับรองแพทย์เท่านั้น และไม่ใช่ว่าจะไปขอที่คลินิกใดก็ได้ ต้องเป็นที่ที่สถานทูตแจ้งมาเท่านั้น และทั้งหมดนี้ ต้องดำเนินการภายใต้มาตรการฉุกเฉินของแต่ละประเทศด้วย (เช่น Movement Control Orders หรือ MCO ของประเทศมาเลเซีย)
3) สุดท้าย เมื่อเอกสารเพียบพร้อมเดินทางข้ามชายแดนแล้ว จะพบว่ามีโอกาสที่จะไม่ได้กลับอีกเช่นกัน ตัวอย่างในมาเลเซียซึ่งมี 5 ด่าน แต่ละด่านเปิดให้เข้าได้ 50-100 คนต่อวัน รวมเป็นวันละ 350 คนเท่านั้น ไม่ได้สัดส่วนกับแรงงานไทยที่ยังค้างอยู่ในประเทศมาเลเซียอีกประมาณ 30,000-40,000 คน นอกจากนี้ จำเป็นต้องเดินทางมาภายในเวลาเที่ยงวันด้วย เป็นเดือดเป็นร้อนไปถึงผู้ที่อยู่ห่างไกลจากด่านจำเป็นต้องเดินทางมาล่วงหน้าก่อน 1 วัน บางทีมาทั้งครอบครัว แต่ลงทะเบียนผ่านหมดยกเว้นลูกคนเดียว ก็เกิดความสับสนวุ่นวายกันไปอีก
ที่น่าฉงนที่สุดคือ เมื่อกลับถึงประเทศไทยแล้วยังต้องเข้าสู่กระบวนการกักกันตัว (Quarantine) อีกครั้ง จึงไม่แน่ใจว่าจะมีการขอใบรับรองแพทย์ไปเพื่ออะไร? ไม่มีหลักฐานชัดเจนรองรับว่าวิธีการนี้จะลดจำนวนผู้ติดเชื้อเข้าสู่ไทย มิหนำซ้ำยังเป็นสร้างความเสี่ยงแก่ประชาชน บังคับให้พวกเขาเดินทางไปมาจนมีโอกาสติดเชื้อมากขึ้นด้วย

แน่นอนว่ามีประชาชนที่ไม่สามารถอดทนรอระบบการคัดกรองคนเข้าประเทศตัวเองได้อีกต่อไป จึงตัดสินใจเลือกวิธีการข้ามแม่น้ำมาฝั่งไทย แล้วยอมรับโทษปรับ/จำคุก ในไทยยังดีกว่า เพื่ออย่างน้อยก็ได้กลับเข้าประเทศไทย เราจะปล่อยให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้เพียงเพราะมาตรการที่ไร้ประสิทธิภาพและเหตุผลจริงๆ หรือ? รัฐบาลจะปฏิบัติกับประชาชนชาติเดียวกันเองแบบนี้หรือ? คนไทยไม่ว่าจะเป็นใครไม่มีสิทธิ์ ไม่ได้รับความสะดวกในการเดินทางกลับบ้านเกิดเมืองนอนตนเองอย่างนั้นหรือ?
พรรคก้าวไกลขอเสนอ “ยกเลิกขั้นตอนการใช้ใบรับรองการเดินทางและใบรับรองแพทย์ในการเดินทางกลับประเทศ” เราเชื่อว่าผู้มีสัญชาติไทยทุกคนมีสิทธิเสรีภาพที่จะเดินทางเข้าออกประเทศตนเองโดยปราศจากอุปสรรคที่ไม่มีเหตุผลเช่นนี้ นี่คือสิ่งที่กำหนดไว้อย่างชัดเจนในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยตามมาตรา 25, 38 และ 39 และเป็นหน้าที่ของรัฐบาลในการต้องจัดการดูแล ควบคุมกักตัวเพื่อคัดกรองโรคอย่างน้อย 14 วัน โดยไม่โยนภาระในการพิสูจน์ตนเอง(ที่ไม่ได้ผล) ไปให้คนไทยที่อยู่ต่างแดนอีกต่อไป นี่ไม่ได้เป็นแค่มนุษยธรรมเพียงอย่างเดียว แต่เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานตามกฎหมายของความเป็นคนไทยด้วย!