ศาลรัฐธรรมนูญ สั่ง "ศักดิ์สยาม" หยุดปฏิบัติหน้าที่ รมว.คมนาคม

ศาลรัฐธรรมนูญ สั่ง “ศักดิ์สยาม” หยุดปฏิบัติหน้าที่ รมว.คมนาคม ปมถือหุ้น “บุรีเจริญคอนสตรัคชั่น” หลังถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ

จากกรณีที่นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล จังหวัดเชียงใหม่ อภิปรายไม่ไว้วางใจ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ปมการปกปิดทรัพย์สินของตัวเองในส่วนที่เป็น ห้างหุ้นส่วนจำกัด (หจก.) บุรีเจริญคอนสตรัคชั่น โดยใช้ลูกจ้างเป็นนอมินี อีกทั้งยังได้ระบุความเชื่อมโยงระหว่างนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ และ หจก.บุรีเจริญคอนสตรัคชั่น เป็นไทม์ไลน์ ดังนี้

หจก.บุรีเจริญ ก่อตั้งในปี 2539 โดยมี ตระกูลชิดชอบ ถือหุ้น 80%
ที่ตั้งสำนักงานก็คือบ้านของ นายศักดิ์สยาม ในขณะนั้น
เมื่อมีตำแหน่งทางการเมือง ก็ได้ออกจากการเป็นผู้ถือหุ้น หจก.บุรีเจริญทั้งหมด และย้ายสำนักงานไปที่อื่น
ปี 2558 ช่วง คสช. บริหารประเทศ นายศักดิ์สยาม ก็กลับมาเป็นผู้ถือหุ้นเกือบทั้งหมดของ บุรีเจริญ
เพิ่มทุนเป็น 120 ล้านบาทและย้ายที่ตั้งสำนักงานมาที่บ้านหลังใหม่ของตัวเอง
ปี 2561 ก่อนมีการเลือกตั้ง นายศักดิ์สยาม โอนหุ้นออกไปทั้งหมดและย้ายที่ตั้งสำนักงานออกจากบ้านของตัวเอง ก่อนรับตำแหน่งรัฐมนตรีเพียง 23 วัน

ล่าสุดวันนี้ (3 มีนาคม 2566) ศาลรัฐธรรมนูญ ได้มีคำสั่งให้ ‘ศักดิ์สยาม ชิดชอบ’ หยุดปฏิบัติหน้าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญ จะมีคำวินิจฉัย ปมถือหุ้น ห้างหุ้นส่วนจำกัด บุรีเจริญคอนสตรัคชั่น โดยมีใจความระบุว่า

ผลการพิจารณา

ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาข้อเท็จจริงตามคำร้องและเอกสารประกอบคำร้องแล้วเห็นว่า กรณีเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๗ㆍ วรรคสาม ประกอบมาตรา ๘๒ วรรคหนึ่ง และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๖๑ มาตรา ๗ (๙) ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์มีคำสั่ง รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย และให้ผู้ถูกร้องยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาต่อศาลรัฐธรรมนูญภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้รับสำเนาคำร้อง

ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณากรณีให้ผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่รัฐมนตรีจนกว่าศาลรัฐธรรมนูญ จะมีคำวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๘๒ วรรคสอง แล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงตามคำร้องและเอกสารประกอบคำร้อง ปรากฎเหตุอันควรสงสัยว่าผู้ถูกร้องมีกรณีตามที่ถูกร้อง จึงมีมติเป็นเอกฉันท์สั่งให้ผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ รัฐมนตรีตั้งแต่วันที่ ๓ มีนาคม ๒๕๖๖ จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย แจ้งให้คู่กรณีและนายกรัฐมนตรีทราบ