ชู 3 นิ้ว 21 ส.ค.63 เพจเฟซบุ๊ก พรรคก้าวไกล โพสต์ข้อความ ระบุว่า ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยมียุคใดเหมือนยุคนี้ ยุคที่ ‘ตำรวจ’ คุกคามประชาชนได้หนักมากขนาดนี้ ในการพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปี 2564 สภาผู้แทนราษฎร วันที่ 20 สิงหาคม 2563 ที่ผ่านมา ถึงคิวการพิจารณางบประมาณของหน่วยรับงบประมาณ ‘สำนักงานตำรวจแห่งชาติ’
ซึ่ง พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นผู้มาชี้แจงด้วยตัวเอง นายวรภพ วิริยะโรจน์ และนายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล ส.ส.พรรคก้าวไกล ในฐานะกรรมาธิการงบประมาณ จึงถือโอกาสนำความคาใจของสังคมไปสอบถามกับผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติกันโดยตรง
ตั้งแต่เกิดมาเพิ่งเคยเห็นว่าไม่เคยมียุคใดเหมือนยุคนี้ ซึ่งเป็นยุคที่อำนาจของตำรวจ บทบาทของตำรวจมีการคุกคามประชาชนได้หนักมากขนาดนี้ อยากตั้งคำถามไปยังตำรวจด้วยว่า ถ้าประชาชนถูกฟ้องด้วยมาตรา 116 โดยตำรวจแล้ว หากประชาชนจะฟ้องมาตรา 157 ต่อตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ควรจะฟ้องใครถึงจะเกิดความยุติธรรมได้” วรภพตั้งคำถามแรก
ขณะที่ ปกรณ์วุฒิ ถามต่อไปว่า เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 63 นักเรียน นักศึกษาและประชาชนออกมาชุมนุมเรียกร้องด้วยข้อเสนอ 3 ข้อด้วยกัน ซึ่งเป็นการชุมนุมโดยสงบ ปราศจากอาวุธ และเป็นสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ แต่ข้อเท็จจริงปรากฎว่า การชุมนุมไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ จึงอยากตั้งคำถามไปยังผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติและผู้บริหารหน่วยงานว่าข้อเท็จจริงเป็นเช่นไร เป็นเพราะความหนาแน่นของผู้ชุมนุมที่มีจำนวนมาก หรือเป็นเพราะผู้ให้บริการที่มีเครือข่ายสัญญาณไม่พอ หรือเป็นเพราะการตัดสัญญาณจากทางตำรวจกันแน่
เนื่องจากมีภาพปรากฎว่ามีรถตำรวจและเครื่องที่ตำรวจถือมีลักษณะคล้ายกับเครื่องตัดสัญญาณโทรศัพท์ หากเป็นเช่นนั้นจริง จำเป็นต้องตั้งคำถามอย่างจริงจัง เพราะงบประมาณที่ใช้ในการจัดซื้อก็ย่อมต้องมาจากภาษีของประชาชน หากนำกลับมาขัดขวางประชาชน ย่อมไปสิ่งที่ไม่ควรทำและไม่ถูกต้อง อีกทั้งสิ่งเหล่านี้เรื่องสัญญาณโทรศัพท์สำคัญ เพราะสิ่งที่กลัวกันมาโดยตลอดคือการมีมือที่สามที่ไม่หวังดีเข้ามาก่อกวน สิ่งที่จะสามารถทำให้ประชาชนผู้ชุมนุมปลอดภัยคือการสามารถส่งสารจากข้างในมาสู่ข้างนอกได้ สามารถบอกเล่าสถานการณ์หรือสามารถส่งสารได้อย่างทันถ่วงที ยิ่งไปกว่านั้นการปกป้องประชาชนเป็นหน้าที่โดยตรงของตำรวจอยู่แล้ว
นายปกรณ์วุฒิ ยังได้กล่าวต่อไปว่า จากที่ทางหน่วยงานนำเสนอต่อ กมธ.มีคำว่าปรองดอง แต่สิ่งที่ต้องเน้นย้ำคือคำว่าปรองดองกับการกระทำดูไม่สอดคล้องกัน มีการตั้งข้อหาประชาชนด้วยกฎหมายตามมาตรา 116 หรือการตั้งข้อหาออกหมายจับตาม พ.ร.บ. ความสะอาดฯ ฯลฯ สิ่งเหล่านี้กลายเป็นการใช้ ‘นิติสงคราม’ ในการจัดการประชาชน หากมองมาจากดาวอังคารก็รู้ว่าคือการกลั่นแกล้ง สร้างความกลัวให้กับประชาชนฝ่ายหนึ่ง
จึงอยากขอเรียกร้องให้หยุดคุกคามประชาชน ตามคำเรียกร้องของผู้ชุมนุม 1 ใน 3 และขอให้เจ้าหน้าที่รัฐมีการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเป็นธรรม เพราะเชื่อว่าหลายคนในที่นี้ก็มีลูกมีหลาน มีคนในครอบครัวเป็นเยาวชน คงจะรู้ว่ายุคนี้ พวกเขาสามารถคิดเองได้ ในฐานะที่เป็นผู้ปกครอง พ่อแม่ เป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ต้องพิทักษ์ประชาชน และเยาวชน ไม่ใช่ไปทำร้ายหรือข่มขู่คุกคามพวกเขาเพื่อพิทักษ์อำนาจใคร
สำหรับ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ได้ตอบชี้แจงในประเด็นเหล่านี้ว่า ได้กำชับกับทางตำรวจว่า อย่าไปสร้างเงื่อนไข ตำรวจต้องวางตัวเป็นกลางเลือกข้างไม่ได้ อย่างไรก็ตาม กฎหมายคือกฎหมาย
ได้ฟังการอธิบายของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์แบบนี้แล้ว คงได้คลายสงสัยกับป้ายที่มีแปะทุก สน.ที่ว่า ‘โรงพักเพื่อประชาชน’ กันเลยทีเดียว เพราะหากยังมีท่าทียึดแนวทาง ‘นิติสงคราม’ ด้วยการอ้าง ม.157 โดยไม่คำนึงถึงสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกของประชาชนตามรัฐธรรมนูญแบบนี้ เห็นทีโรงพักอีกหลายแห่งก็คงจะได้กลายเป็นโรงพัก(คุมขัง)เพื่อประชาชน(ที่เห็นต่าง)กันต่อไปอีกนาน
