นาย ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า 19 กันยายน 2549 ถึง 19 กันยายน 2563 ประสบการณ์ของผมกับการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย
ชุมนุม 19 กันยา เผยภาพมุมสูง เต็มท้องสนามหลวง มวลชนเนืองแน่น
วันนี้เมื่อ 14 ปีที่แล้ว ผมกำลังเจรจาธุรกิจอยู่กับบริษัทคู่ค้า เมื่อมีสายโทรศัพท์จากประเทศไทยโทรเข้ามาว่าเกิดการทำรัฐประหารขึ้น
เมื่อผมกลับถึงประเทศไทยในสัปดาห์ต่อมา ผมได้เข้าร่วมแสดงจุดยืนทางการเมืองต่อต้านการทำรัฐประหารกับกลุ่ม “19 กันยา” ตามแต่เวลาและโอกาสจะอำนวย
ศรีสุวรรณ เตือน ไมค์ ระยอง นำมวลชนตัดกุญแจประตูมธ. มีความผิด พร้อมชี้ผู้บุกรุกสนามหลวงเสี่ยงคุก 7 ปี
หลังจากนั้นผมก็พยายามมีส่วนร่วมทางการเมืองเพื่อผลักดันวาระประชาธิปไตยอย่างแข็งขันมาตลอด ไม่ว่าจะเป็นการร่วมรณรงค์ไม่รับรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ 2550 และ 2560 ในกระบวนการประชามติ, การแสดงจุดยืนทางการเมืองไม่เห็นด้วยการเคลื่อนไหวกดดันรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งเพื่อเปิดทางในเกิดการทำรัฐประหาร, การแสดงพลังในฐานะพลเมืองเข้าร่วมการเสวนาและการชุมนุมต่าง ๆ ของฝ่ายประชาธิปไตย (และได้รู้จักปิยบุตรครั้งแรกก็จากการเข้าฟังเสวนาของคณะนิติราษฎร์), ใช้คะแนนเสียงของตนเองลงคะแนนเลือกพรรคเพื่อไทยในการเลือกตั้งปี 2554, แสดงจุดยืนไม่เห็นด้วยกับการบอยคอตการเลือกตั้งและการปิดคูหาการเลือกตั้ง
และนำมาสู่การรวมกลุ่มคนที่มีอุดมการณ์คล้ายกันก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่ขึ้นเมื่อสองปีที่แล้ว
14 ปีผ่านมา ถึงแม้ว่าเรายังไม่สามารถสถาปนารัฐที่อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชนได้ แต่วันนี้เรามีความหวังที่สุด
สายธารประวัติศาสตร์การต่อสู้เพื่อความยุติธรรมเริ่มต้นอีกครั้ง
บทใหม่ของการต่อสู้กำลังถูกเขียนขึ้นด้วยมือของประชาชนและคนหนุ่มสาว
และครั้งนี้ ภายใต้บริบททางสังคมและเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป เราจะไม่แพ้
ทำความเข้าใจร่วมกัน ว่าวันนี้ไม่ใช่สงครามครั้งสุดท้าย แต่เราจะต้องต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันอีกยาว หากถอยหมดแรงระหว่างทาง คนหนุ่มสาวที่กล้าหาญก้าวออกมานำการต่อสู้จะไม่มีใครปกป้อง
มีแต่การแสดงพลังอย่างแข็งขัน เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน สนับสนุนปกป้องกันและกัน ท้าทายอำนาจอยุติธรรมไปด้วยกัน พร้อมจะลงทุนลงแรงด้วยกันยาว ๆ เท่านั้น ที่จะนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงได้
เริ่มจากการล้ม “ระบบประยุทธ์” ด้วยการแก้รัฐธรรมนูญ 2560 ทั้งฉบับ และรายมาตราไปพร้อม ๆ กัน
ปฏิรูประบบราชการ ยุติรัฐราชการรวมศูนย์ จัดสมดุลให้อำนาจอิสระทางการบริหารและจัดงบประมาณแก่ท้องถิ่นมากขึ้น
ปฏิรูปกองทัพ ให้กองทัพเคารพในสิทธิมนุษยชน ปกป้องรักษาประชาธิปไตย และอยู่ใต้รัฐบาลพลเรือนที่มาจากการเลือกตั้ง
ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม รวมถึงองค์กรอิสระ เพื่อไม่ให้ความยุติธรรมถูกใช้มาเป็นเครื่องมือทางการเมือง และสร้างการบังคับใช้กฎหมายสองมาตรฐานอีก
ช่อ พรรณิการ์ ร่วมชุมนุม 19กันยาทวงอํานาจคืนราษฎร ชี้รัฐบาลยิ่งขวางมีแต่จะยิ่งพัง
ปฏิรูประบบเศรษฐกิจ ยุติการผูกขาดของกลุ่มทุนขนาดใหญ่ที่สร้างความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจมหาศาล กลุ่มทุนเหล่านี้สนับสนุนการทำรัฐบาลครั้งแล้วครั้งเล่า กลุ่มทุนเหล่านี้ไม่เคยสนับสนุนประชาธิปไตย และเป็นส่วนหนึ่งของระบอบอภิสิทธิ์ชนที่เอื้อประโยชน์ซึ่งกันและกันกับผู้นำกองทัพ, ข้าราชการระดับสูง และชนชั้นนำจารีตมาตลอด
ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ เพื่อให้สถาบันกษัตริย์อยู่เหนือการเมือง และอยู่ใต้รัฐธรรมนูญ อำนาจและบทบาทของสถาบันกษัตริย์ต้องสอดคล้องกับหลักการประชาธิปไตย การปฏิรูปสถาบันกษัตริย์จะทำให้สถาบันกษัตริย์ดำรงอยู่คู่สังคมประชาธิปไตยอย่างยั่งยืน
จะทำทั้งหมดนี้ได้อาจต้องใช้เวลาอีกสิบปี ขอให้พวกเราประชาชนที่รักความเป็นธรรม ยืนเคียงข้างกัน ต่อสู้ร่วมกัน จนกว่าสิ่งต่างๆ เหล่านี้จะเป็นจริง
จนกว่าอำนาจสูงสุดจะเป็นของประชาชน