นาย ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ และประธานคณะก้าวหน้า ร่วมเสวนาในหัวข้อ “กกต. ไทย อย่างไรต่อดี?” เวทีแสวงหาฉันทามติใหม่ให้กับประเทศไทย New Consensus Thailand เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2563 โดยกล่าวถึงความผิดปกติในการดำเนินการของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ในการเลือกตั้งที่ผ่านมาว่ามีตัวอย่างความผิดปกติ 2 แบบ
ธนาธร ให้กำลังใจ ผู้ชุมนุม เยาวชนปลดแอก ที่ลุกขึ้นมาแสดงพลัง
1.ภาพรวมการทำงานของ กกต. เช่น การประกาศผลการเลือกตั้ง ในยุคสมัยใหม่ไม่มีประเทศไหนใช้เวลาเป็นเดือนในการนับคะแนนและรอประกาศผลอย่างเป็นทางการ แต่การเลือกตั้งครั้งล่าสุดในประเทศไทยมีการประกาศถึง 3 ครั้ง โดยครั้งแรกคือ 28 มี.ค. 2562 ครั้งที่ 2 เกิดขึ้นวันที่ 7 พ.ค. 2562 เป็นการประกาศ ส.ส. แบบแบ่งเขต และครั้งที่ 3 เกิดขึ้น 8 พ.ค. 2562 ประกาศ ส.ส. ปาร์ตี้ลิสต์ รวมแล้วใช้เวลาถึง 45 วัน ขณะที่มาตรฐานทั่วโลกนั้นอยู่ที่ 24 ชั่วโมง
2.การนับคะแนนใหม่ เช่น เขต 1 จ.นครปฐม ซึ่งพรรคอนาคตใหม่ ร้องเรียน กกต. จึงเกิดการนับคะแนนใหม่ประมาณ 1 เดือนหลังการเลือกตั้งทั่วไป ซึ่งผลจากการนับใหม่ปรากฎว่ามีบัตรเสียเพิ่มขึ้น 164 ใบ บัตรดีลดลง 142 ใบ และบัตรประสงค์ไม่ลงคะแนนลดลง 4 ใบ จำนวนบัตรทั้งเขตเพิ่มขึ้น 25 ใบ จะเป็นไปได้อย่างไรที่บัตรลงคะแนนซึ่งตั้งไว้เฉยๆ 1 เดือน ซึ่งควรจะเท่ากันกับการนับคะแนนครั้งก่อน แต่ปรากฏว่าจำนวนบัตรเปลี่ยนไป สุดท้ายไม่มีใครต้องรับผิดชอบ และ กกต. เองก็ไม่เคยตอบคำถามนี้เลย
ธนาธร กล่าวว่า “หน้าที่ของ กกต. คือ การเป็น Gatekeeper เป็นทั้งผู้บริหาร เป็นทั้งผู้ออกกฎการเลือกตั้ง และชี้ขาดในการเลือกตั้ง มี 3 อำนาจในองค์กรเดียว คนทั่วไปตรวจสอบคัดค้านอะไรไม่ได้เลย และกระบวนการที่จะนำไปสู่การถอดถอน กกต. ก็ยากเย็นจนแทบเป็นไปไม่ได้ กกต. ชุดปัจจุบันมาจาก สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ซึ่ง คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เลือกมาอีกทีหนึ่ง”
“ด้วยสถานะที่ กกต. เลือกข้างทางการเมือง ไม่ยึดโยงกับประชาชน จึงนำมาสู่การเลือกตั้งที่เป็นข้อกังขามากมาย ไม่มีองค์กรรัฐองค์กรไหนที่มีประชาชนล่ารายชื่อถอดถอนเกือบ 1 ล้านคน เป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน นี่คือวิกฤตศรัทธาต่อองค์กรอิสระที่จำเป็นต้องวางตัวเป็นกลาง เพราะตัวเองเป็น Gatekeeper ว่าใครจะเป็นผู้ได้ใช้อำนาจประชาชน แต่การเลือกตั้งเมื่อวันที่ 24 มี.ค. 2562 กกต. กลับล้มเหลวในการดำรงไว้ซึ่งความเป็นกลางทางการเมือง ล้มเหลวในการดำรงไว้ซึ่งความบริสุทธิ์ยุติธรรมของการเลือกตั้ง” อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ กล่าว
ประธานคณะก้าวหน้า อธิบายต่อว่า ความวิปลาสของการดำเนินการของ กกต. ในหลายกรณีเป็นอาการ โดยมีตัวต้นตอเชื้อโรคที่ให้เกิดอาการแบบนี้คือ ความพยายามสืบทอดอำนาจของ คสช. ซึ่งทำให้เกิดรัฐธรรมนูญ 2560 ที่เป็นรัฐธรรมนูญของอภิสิทธิ์ชน เป็นเครื่องยืนยันว่าผู้ก่อรัฐประหารจะสืบทอดอำนาจต่อไปได้แม้ว่าจะมีการเลือกตั้งแล้ว
หมอวรงค์ ถาม ธนาธร ไม่รู้จริงหรือว่าใครอยู่เบื้องหลัง ม็อบเยาวชนปลดแอก
สามารถ ไล่!! ธนาธร ไปอยู่อเมริกา เพื่อศึกษาประชาธิปไตยที่แท้จริง
รัฐธรรนูญ 2560 เขียนขึ้นมาเพื่อให้พวกเขาครองอำนาจ ไม่ให้ประชาชนมีสิทธิมีเสียงแย่งชิงอำนาจมาได้ ทั้งอำนาจบริหารก็มีคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติคอยควบคุม ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญเอาผิดได้ อำนาจนิติบัญญัติก็ชัดเจนว่าสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ที่มาจากการแต่งตั้งจะคอยปกป้องผลประโยชน์ให้ เพราะกลัวว่า ส.ส. จะผ่านกฎหมายที่ไปทำลายผลประโยชน์อภิสิทธิ์ชน จึงต้องมี ส.ว. แต่งตั้งกลั่นกรองอีกที และ ส.ว. ชุดนี้ยังร่วมเลือกนายกรัฐมนตรีได้ด้วย รวมถึงอำนาจตุลาการ เรื่องการตัดสินทางการเมืองอยู่ในมือองค์กรอิสระ เช่น กกต. ศาลรัฐธรรมนูญ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) ซึ่งก็มาจากการแต่งตั้งทั้งนั้น
สิ่งที่บ่มเพราะเชื้อโรคความพยายามสืบทอดอำนาจของ คสช. คือใจกลางของปัญหาว่า อำนาจในประเทศนี้เป็นของใคร เป็นของอภิสิทธิ์ชนคนกลุ่มน้อยหรือเป็นของประชาชนทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน ถ้าเราไม่หาคำตอบร่วมกัน และเป็นคำตอบที่ทุกฝ่ายยอมรับ เห็นตรงกัน มีการแบ่งอำนาจกันอย่างสมดุล ประเทศเดินหน้าต่อไปไม่ได้
สิ่งสำคัญวันนี้เราต้องการข้อตกลงร่วมกันจากทุกฝ่าย เพราะที่ประเทศไทยเดินมาถึงจุดนี้ได้ เรามีส่วนร่วมทั้งนั้น หากจะออกจากจุดนี้ได้ต้องมานั่งคุยกันและยอมรับว่าสังคมไทยมีปัญหาไปต่อไม่ได้ เราต้องการกฎระเบียบที่ทุกฝ่ายยอมรับด้วยกัน
โดยธนาธรเสนอกรอบ 4 อย่างคือ 1. สังคมที่เป็นประชาธิปไตย อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน 2. ประเทศที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ มีพระราชฐานะอยู่เหนือความขัดแย้งทางการเมือง 3.ระบบรัฐสภาที่แสดงออกซึ่งเจตจำนงประชาชนอย่างแท้จริง รัฐบาลมีประสิทธิภาพและเสถียรภาพ 4. นิติรัฐ นิติธรรม สิทธิประชาชนได้รับการประกัน ทุกคนเสมอภาคกันต่อหน้ากฎหมาย