ธีระชัย อดีตรมว.คลัง ชี้ปัจจัยลบเศรษฐกิจสหรัฐกระทบเศรษฐกิจไทย “ผู้ที่ไม่เรียนรู้จากประวัติศาสตร์ ย่อมจะผิดพลาดซ้ำรอยอดีต”
28 มิ.ย. 63 ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โพสต์ข้อความในเพจเฟซบุ๊กชื่อ Thirachai Phuvanatnaranubala ระบุว่า “ปัจจัยลบเศรษฐกิจสหรัฐเพิ่มเติม”
เมื่อหวนนึกถึงวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ปี 2008 จะมีคำว่า sub prime mortgage หมายถึงสัญญาผ่อนบ้านที่ต่ำกว่ามาตรฐาน
อาจเกิดจากลูกหนี้บุคคลธรรมดากู้ในวงเงินสูงเกินกว่ารายได้ที่จะผ่อน ลูกหนี้ติดเครดิตบูโรแต่แบงค์ผ่อนปรน หรือลูกหนี้เก็งกำไรผ่อนบ้านหลายหลัง เป็นต้น
บริษัทหลักทรัพย์เอาลูกหนี้เหล่านี้ ไปมัดรวมกันเป็นฟ่อน เรียกว่า Collateralized Debt Obligation CDO แปลว่า เสนอขายตราสารหนี้ที่มีหลักประกันเป็นสัญญาผ่อนบ้านหนึ่งฟ่อน
แต่บริษัทหลักทรัพย์เก่งมาก จับเอาลูกหนี้ชั้นดีระดับ prime เข้าไปยัดปะปนไว้ในฟ่อนด้วยจำนวนหนึ่ง เพื่อให้อันดับเครดิตเฉลี่ยทั้งฟ่อนสูงขึ้น
นอกจากนี้ ยังจัดโครงสร้างแบบพิสดาร แบ่งตราสารออกเป็นหลายชั้นความเสี่ยง
โดยกำหนดกติกา ถ้าหากลูกหนี้ในฟ่อนกลายเป็นหนี้สูญ ก็ให้ตราสารหนี้ชั้นต่ำสุดรับเอาความเสียหายไปก่อน
ด้วยวิธีนี้ ตราสาร CDO ที่อยู่ชั้นบน จึงได้รับเรตติ้งสูงถึงขั้น AAA
พอลูกหนี้ไม่สามารถผ่อน ราคาบ้านตก ฟองสบู่แตกในปี 2008 เศรษฐกิจก็ทรุดหนัก เฟดต้องอัดฉีดเงินเข้าระบบเพื่ออุ้มไม่ให้แบงค์ล้ม
เหตุการณ์ดังกล่าว ทำเอาคำว่า CDO เป็นคำต้องห้ามไปทันใด
ผ่านมา 12 ปี มาถึงวิกฤตโควิด ปรากฏข้อมูลใน CNBC ที่ผมเจอเมื่อ 19 มิ.ย. บริษัทหลักทรัพย์ได้เล่นกลอีกแล้ว คราวนี้เรียกว่า Collateralized Loan Obligation CLO
ในรูป 1 อธิบายว่า CLO เกิดจากเอาสัญญากู้ของลูกหนี้ประเภทธุรกิจ รายที่ฐานะอ่อน ที่ไม่สามารถออกหุ้นกู้เองได้ หรือหุ้นกู้มีเครดิตระดับ junk bond
และนำเอาสัญญากู้มามัดรวมกันเป็นฟ่อน เหมือนกับ CDO นั่นเอง
ในรูป 2 บริษัทหลักทรัพย์จับเอาลูกหนี้ชั้น Investment Grade ไปยัดปะปนไว้ในฟ่อนจำนวนหนึ่ง เพื่อให้อันดับเครดิตเฉลี่ยทั้งฟ่อนสูงขึ้น
ในรูป 3 จะเห็นได้ว่า ลูกหนี้ใน CLO มีอันดับเครดิตเฉลี่ยค่อนข้างต่ำ โดยเป็นระดับ B 67% ระดับ CCC ลงไป 15% สองอันดับรวมกัน มากถึง 82% เป็นอันว่าเป็นตราสารที่เสี่ยงสูงอย่างมาก
ในรูป 4 จะเห็นได้ว่า CLO เป็นที่นิยมทั้งในสหรัฐ(เส้นสีแดง)และยุโรป(เส้นสีฟ้า) โดยปริมาณเพิ่มขึ้นมากหลังปี 2008 เนื่องจากทั้งเฟดและอีซีบีอัดสภาพคล่อง QE แบบไม่ยั้ง
ช่วยกันเป่าฟองสบู่ เลี้ยงไม่ให้แตก แต่กลับเป็นการเพิ่มความเสี่ยงแก่ตลาดเงินอย่างมหาศาล
ในรูป 5 เขาเปรียบเทียบขนาดของ CLO ในปี 2018 พบว่าตัวเลขสูงกว่า CDO ในปี 2007 ด้วยซ้ำ (ตัวเลข CLO ต่ำกว่าเส้นกราฟเล็กน้อย)
ในรูป 6 แสดงข้อมูลว่าสถาบันการเงินในสหรัฐบางแห่ง ได้ลงทุนใน CLO เอาไว้จำนวนมาก
นี่เอง เมื่อผสมผสานกับข้อมูลลูกหนี้เริ่มผิดนัดชำระหนี้ จะทะยอยกระทบกันเป็นลูกโซ่ จึงน่าจะเป็นเหตุผลสำคัญทำให้เฟดตัดสินใจห้ามแบงค์จ่ายเงินปันผล ยกเว้นเป็นเงินเล็กน้อย
สิ่งที่แปลกประหลาดอีกอย่างหนึ่ง คือมีกรรมการเฟดคนหนึ่ง เขียนบทความลงในเว็บไซต์ของเฟด ไม่เห็นด้วยกับที่เฟดยังยอมให้แบงค์จ่ายปันผลได้เล็กน้อย
โดยเธอเห็นว่าเฟดควรจะห้ามการจ่ายแบบเด็ดขาดไปเลยทั้งหมด
ผู้ที่ไม่เรียนรู้จากประวัติศาสตร์ ย่อมจะผิดพลาดซ้ำรอยอดีต