แรงงาน ไม่ใช่ตัวเลขกำไรขาดทุน! วรรณวิภา พรรคก้าวไกล เสนอ 4 เงื่อนไข หากจะอุ้มนายทุน ต้องหยุดละเมิดสิทธิ์แรงงาน
เฟซบุ๊ก พรรคก้าวไกล โพสต์เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2563 คุณวรรณวิภา ไม้สน ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล สัดส่วนแรงงาน อภิปราย พระราชกำหนดการรักษาเสถียรภาพของระบบการเงินและความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ พ.ศ. 2563 หรือ พ.ร.ก. อุ้มตราสารหนี้ฯ ซึ่งจะมีการตั้ง “กองทุนรักษาสภาพคล่องของการระดมทุนในตลาดตราสารหนี้ หรือ BSF (Bond Stabilization Fund)” โดยมาในหัวข้อ “ธรรมาภิบาลกับการช่วยเหลือของรัฐ”
วรรณวิภาเกริ่นนำโดยเปรียบเทียบการพยุงหุ้นกู้ให้นายทุนและการพยุงประชาชน โดยตั้งข้อสังเกตว่า นอกจากจำนวนเงินและจำนวนผู้คนที่ได้รับจะแตกต่างกันแล้ว ทั้งระยะเวลาและเงื่อนไขก็ยังแตกต่างกันอีกด้วย ตัวอย่าง กองทุน BSF จัดตั้ง 19 เมษายน ได้รับการช่วยเหลือภายในวันที่ 29 เดือนเดียวกัน ในขณะที่ 5.5 แสนล้านบาทที่ใช้เยียวยาประชาชนกลับใช้ระยะเวลานานมาก และยังมีขั้นตอนกรอกยื่นสิทธิ์, ทบทวนสิทธิ, รอเงินเข้า ฯลฯ มากมายเต็มไปหมด มิพักการพิสูจน์ความจนของประชาชนอีกนานับประการ ตนจึงต้องการตั้งคำถามไปยังรัฐฐบาลว่ามีความจำเป็นมากน้อยเพียงใดที่รัฐต้องเข้าไปโอบอุ้มหุ้นกู้เหล่านี้และจะมีความเป็นกลาง รวมถึงตรวจสอบได้หรือไม่
ในส่วนต่อมา วรรณวิภาเผยรายชื่อบริษัทที่ได้รับผลประโยชน์จากมาตรการใน พ.ร.ก. นี้ พบว่ามีทรัพย์สินรวมกันแล้วมากกว่า 20% ของทั้งประเทศ ครอบครองที่ดินรวมกันแล้วเท่ากับประชาชนถึง 30 ล้านคน เข้าถึงแหล่งทุนแหล่งเงินได้มากกว่าธุรกิจขนาดเล็ก เป็นคนกลุ่มเดียวกันเองที่ได้รับสิทธิพิเศษมากมายหลายอย่างจากรัฐบาลอยู่แล้ว แต่กลับยังได้รับสิทธิการช่วยเหลือพยุงหุ้นกู้จากรัฐบาลในครั้งนี้อีก
นอกจากนี้ วรรณวิภากล่าวต่อไปถึงการที่บริษัทยักษ์ใหญ่หลายแห่งในรายชื่อดังกล่าวมีลักษณะเป็น “ตัวแทนของความเหลื่อมล้ำในการจ้างงานและการสร้างงานที่ไม่มั่นคง เช่น การเลิกจ้างลูกประจำแล้วจ้างเอาท์ซอสหรือซับคอนแทรกต์แทน กล่าวคือ หน้างานไม่ต่างกันแต่ได้รับสวัสดิการที่ต่ำกว่าเดิม
“บางบริษัทโยกย้ายควบรวม แต่ไม่ทำตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน คือไม่ให้ค่าจ้างสวัสดิการเท่าเดิมและไม่นับอายุการทำงานต่อจากเดิม หนึ่งในบริษัทที่มีรายชื่อนี้เคยเลิกจ้างพนักงานที่เป็นแกนนำรวมตัวกันก่อตั้งสหภาพแรงงาน บางที่ไม่เคยตรวจสอบการจ้างงานในห่วงโซ่ของตัวเองว่าทำตามกฎหมายแรงงานหรือไม่ และโรคที่กำลังฮอตฮิตอยู่ในขณะนี้ก็คือ หลายที่เรียกลูกจ้างมาคุย เกลี้ยกล่อม ข่มขู่ ให้เซ็นใบลาออกเอง ทำให้ลูกจ้างไม่ได้รับสิทธิค่าชดเชยตามกฎหมายและยังเสียสิทธิว่างงานจากประกันสังคมอีกด้วย” วรรณวิภายกตัวอย่างกรณีการจ้างงานที่ไม่เป็นธรรม
“ดิฉันจะยกตัวอย่างบริษัทยักษ์ใหญ่ มีชื่อย่อ ช ที่มีคนงานเสียชีวิตเยอะๆ บริษัทนี้จ้างลูกจ้างทั้งในประเทศและส่งไปทำงานต่างประเทศ บริษัทนี้เป็นเหมือนอนุสาวรีย์ของความเหลื่อมล้ำ เนื่องจากมีการจ้างงานแบบเหมาช่วงเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งบริษัทซับคอนแทรคเหล่านี้ไม่มีการฝึกอบรมเรื่องความปลอดภัยที่เพียงพอ ไม่ได้มีการรัดกุมในการควบคุมมาตรฐานด้านความปลอดภัยในสถานประกอบการณ์ ไม่มีการจัดอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยให้กับพนักงานอย่างเพียงพอ การทำสิ่งต่างๆที่ดิฉันพูดไปทั้งหมดนี้มันคือ “การกินกำไร” เพราะถ้าพวกเขาไม่ทำเช่นนี้กำไรพวกเขาจะน้อยลง ดังนั้นจึงปล่อยให้พนักงานี่เป็นพนักงานซับคอนแทรคเสี่ยงกับภัยในสถานประกอบการ เพื่อปกป้องกำไรของตัวเอง”
“หรือจะเป็นบริษัทในเครือโรงแรมชื่อดัง ในช่วงสถานการณ์โควิดนี้ออกประกาศให้ลูกจ้างหยุดงานโดยสมัครใจแบบไม่ได้รับค่าจ้าง ย้ำนะคะไม่ได้รับค่าจ้าง ถึงแม้ในประกาศใช้คำว่าสมัครใจ แถมมีโปรโมชั่นมากมายยกตัวอย่างเช่นลา 5 วันขึ้นไปจะได้รับส่วนลดพิเศษ 20% คือลา 5 วันได้รับค่าจ้าง 1 วัน ในประกาศเป็นประกาศเพื่อให้คนสมัครใจเข้ามาใช้สิทธิ แต่ในความเป็นจริงอ้างประกาศฉบับนี้แต่ขอร้อง ข่มขู่ คุกคาม ให้พนักงานต้องลาหยุดโดยใช้สิทธินี้ ทั้งๆที่พวกเขาไม่ได้เต็มใจ เพราะถ้าเขาไม่ทำงานไม่ได้รับค่าจ้างจะเอาเงินที่ไหนกินจะเอาเงินที่ไหนใช้จ่ายในครอบครัว เขามาปรึกษาดิฉันในฐานะที่ดิฉันเป็นที่ปรึกษาประธานกรรมาธิการแรงงาน แต่ท้ายที่สุดพวกเขาก็ไม่ต้องการเป็นข่าว ไม่ต้องการเผชิญหน้ากับนายจ้าง เนื่องจากอำนาจการต่อรองมันเหลื่อมล้ำเกินไป”
ในส่วนสุดท้าย วรรณวิภาสรุปการอภิปรายด้วยข้อเสนอ 4 ข้อสำหรับกลุ่มทุนใหญ่ หากกลุ่มทุนไหนหรือบริษัทไหนต้องการมาใช้เงินพยุงหุ้นกู้ 4 แสนล้านบาทตัวนี้ ต้องมีเงื่อนไขดังนี้
1) ต้องไม่เลิกจ้างลูกจ้างจนกว่าจะไถ่ถอนหุ้นกู้คืนจากธนาคารแห่งประเทศไทย ในระหว่างที่ยังได้รับการสนับสนุนโอบอุ้มจากภาครัฐต้องไม่เลิกจ้าง
2) นอกจากมีความน่าเชื่อถือด้านเครดิตการเงินที่ดีแล้ว ต้องมีความน่าเชื่อถือหรือเครดิตด้านแรงงานที่ดี ไม่มีการกดขี่ ไม่มีการละเมิดสิทธิแรงงานในอดีตด้วย
3) หากบริษัทไหนมีประวัติต้องเสนอแผนแก้ไข เช่น หากมีคดีความที่ฟ้องร้องแรงงานที่มีลักษณะละเมิดสิทธิ หรือการฟ้องเพื่อสร้างอำนาจการต่อรองบริษัทอยู่ ให้ถอนฟ้องให้หมด หรือหากมีกรณีที่ยังคั่งค้างยังไม่ได้จ่ายค่าจ้าง ยังไม่ได้จ่ายค่าชดเชยให้จ่ายคืนให้หมดในช่วงระยะเวลาที่ได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐ
4) ตลอดระยะเวลาที่ได้รับการช่วยเหลือนี้ หากมีพฤติกรรมที่กดขี่ มีพฤติกรรมที่ละเมิดสิทธิแรงงาน รัฐมีสิทธิที่จะบังคับให้บริษัทเหล่านี้ซื้อตราสารหนี้คืนจากรัฐได้โดยทันที