วิโรจน์ ก้าวไกล หรือ นาย วิโรจน์ ลักขณาอดิศร โฆษกพรรคก้าวไกล โพสต์ภาพพร้อมข้อความผ่านเพจเฟสบุ๊ค
Wiroj Lakkhanaadisorn – วิโรจน์ ลักขณาอดิศร ว่า [ หมดเวลาแล้ว ‘วิโรจน์’ ไล่ ‘ประยุทธ์’ ออกไปเพื่อให้ประเทศนี้มีฟ้าสีทองผ่องอำไพ ประชาชนได้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน ]
ปิยบุตร รัฐธรรมนูญใหม่ต้องเพิ่มหมวด ลบล้างผลพวงรัฐประหาร – ป้องกันรัฐประหาร
“วันนี้บ้านเมืองประชาชนเดือดร้อนอยู่ทุกหัวระแหง ท่านนายกรัฐมนตรีคงสงสัยว่า เหตุใดจึงเป็นที่น่ารังเกียจขนาดนี้นักเรียนนักศึกษาอายุ 14 ถึง 22 ปี พากันออกมาร่วมชุมนุมขับไล่ นักเรียนนักศึกษาเหล่านี้รู้เรื่องและเกิดทัน รู้เรื่องการชุมนุมของคนรุ่นก่อนที่ผูกผ้าลายธงชาติเป่านกหวีต บางคนพ่อแม่พาไปร่วมชุมนุมด้วย การชุมนุมในวันนั้นนำมาซึ่งการก่อกบฏทำรัฐประหารของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นักเรียนนักศึกษาต้องเติบโตมากับระบบการศึกษาที่ถูกยัดเยียด มีบทเพลงที่เป็นคำสัญญาอย่างไร้สัจจะที่ต้องฟังซ้ำไปซ้ำมาว่า เราจะทำตามสัญญาขอเวลาอีกไม่นาน มีรายการคืนความสุขที่ขโมยเวลาดูการ์ตูนในทุกสัปดาห์ สิ่งที่ทำได้คือการปิดทีวี และนั่นทำให้พวกเขาได้เรียนรู้และซึมซับจากแหล่งบันเทิงและได้ความรู้ต่างๆในช่องทางอื่นผ่านโลกอินเตอร์เน็ตและสื่อออนไลน์แทน”
ย้อนชมการ “ร่ายคาถาไล่ประยุทธ์” เมื่อวานนี้ (9 ก.ย. 63) โดย Wiroj Lakkhanaadisorn – วิโรจน์ ลักขณาอดิศร ในญัตติ อภิปรายทั่วไปแบบไม่มีการลงมติ ตามมาตรา 152 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยปี พ.ศ. 2560 โดยย้ำถึงปัญหาของระบบการศึกษาเกือบ 7 ปีที่ผ่านมา ซึ่งถูกยัดเยียดโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา วิชาประวัติศาสตร์ที่สอนให้เหยียดหยามชนชาติอื่นและยังมีเนื้อหาเชิดชู พล.อ.ประยุทธ์ การยัดเยียดเช่นนี้ส่งผลให้ยิ่งค้นคว้าหาความรู้เพิ่มเติมด้วยตนเอง จนรู้เท่าทันประวัติศาสตร์ในยุคต่างๆ การรัฐประหารปี 2549 เหตุการณ์พฤษภาทมิฬปี 2535 เหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 หลายคนยังได้ค้นคว้าและมีโอกาสอ่านหนังสือที่เขียนโดย ธงชัย วินิจจกุล ยิ่งไปกว่านั้นคือ ทำให้พวกเขายังไม่ตกเป็นเหยื่อผังล้มเจ้าอันล่าสุดที่ถูกสร้างขึ้น เพราะพวกเขามีภูมิต้านทานแล้ว
“ ระบบการศึกษาของ พล.อ.ประยุทธ์ ยังได้ใช้อำนาจนิยมกดขี่ในโรงเรียน เช่น การลงโทษทารุณกรรมต่างๆ พูดเหยียดหยามศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ การหมอบกราบศิโรราบ ทั้งที่โลกได้เปลี่ยนไปแล้ว และการที่นักเรียนได้ออกมาใช้สิทธิเสรีภาพในการแสดงออกทั้งการผูกโบขาว การชู 3 นิ้ว การชูกระดาษเปล่า เป็นการกระทำที่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญทั้งสิ้น แต่นักเรียนกลับถูกคุกคามด้วยความรุนแรงด้วยมาตรการต่างๆ ถูกให้ออกไปทำกิจกรรมข้างนอกโรงเรียนเป็นเหตุให้มีการดำเนินคดีจากทางตำรวจ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ได้เกิดขึ้นจริงที่จังหวัดราชบุรี มีนักเรียนมัธยมที่ทำกิจกรรม ใช้สิทธิเสรีภาพในการแสดงออกถูกดำเนินคดีจากทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ จึงกล่าวได้ว่าเป็นจุดที่ต่ำที่สุดของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งยังมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ที่เมื่อปี 2556-2557 ออกไปผูกผ้าลายธงชาติ เป่านกหวีตขับไล่คนที่เห็นต่าง โดยเป็นคำถามที่ตามมาว่าเหตุใดยุคนั้นจึงทำได้ แต่ยุคนี้นักเรียนนักศึกษามีการเรียกร้องที่สุภาพเรียบร้อยกว่า กลับทำไม่ได้และยังถูกดำเนินคดี”
จากนั้น วิโรจน์ จึงได้อภิปรายถึง ปัญหาในการบริหารประเทศของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่มีโอกาสได้ใช้งบประมาณสูงถึง 20 ล้านล้านบาท แต่กลับเอาไปซื้ออาวุธ เรือดำน้ำ เครื่องบิน VIP รถยานเกราะสไตรเกอร์ ส่งทหารไปฝึกที่ฮาวายแล้วก็นำเชื้อโควิดกลับมา โดยไม่มีการเรียนรู้ถอดบทเรียนกรณีสนามมวยลุมพินีเลย ซึ่งงบประมาณเหล่านี้สามารถนำไปใช้ในการพยุงการจ้างงานให้กับประชาชนและการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้ แต่ความจริงปรากฏคือ รถประจำทางในปัจจุบันใช้มาตั้งแต่พฤษภา 2535 งบประมาณอาหารกลางวันของนักเรียนยังอยู่ที่ 20 บาทต่อหนึ่งคนตั้งแต่ปี 2556 แทนที่ประชาชนจะมีรถไฟความเร็วสูงได้ใช้ก็กลับไม่มี แต่ที่มีคือปฏิบัติการ IO คอยโจมตีนักเรียนนักศึกษาที่พูดเรื่องปัญหาเชิงโครงสร้างต่างๆ มีการป้ายสีเรื่องการปั่นแฮชแท็กจากนอกประเทศ ทั้งที่ในความเป็นจริงสามารถตรวจสอบจาก VPN ได้แต่กลับล้าหลังไม่เข้าใจเทคโนโลยีได้อย่างดีพอ ปี 2559 มีคำว่า Start up เกิดขึ้นแต่ในความเป็นจริงประเทศไทย ยังไม่มี Start up ที่ประสบความสำเร็จเป็นระดับครีมหรือ Unicorn ที่มีมูลค่าธุรกิจสูงเกิน 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐเลย ในขณะที่ประเทศอื่นในแถบอาเซียนมีแล้วทั้งหมด ขณะที่ธุรกิจยักษ์ใหญ่ที่โตวันโตคืนในประเทศไทยก็คือธุรกิจทุนผูกขาด สะท้อนระบอบอภิสิทธิ์ชนที่เกาะกินประเทศนี้แล้วทั้งหมด เครือข่ายอุปถัมภ์เท่านั้นที่จะทำให้คนรวยได้ และเป็นไปไม่ได้เลยที่ธุรกิจเล็กๆ จะสามารถลืมตาอ้าปากได้
“ด้วยเหตุนี้จึงขอแนะนำ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้ออกจากมุมที่มืดบอด มุมที่เป็นเผด็จการอำนาจนิยม ที่จะฟังแต่คำเยินยอแต่ไม่ยอมฟังปัญหาที่เป็นข้อเท็จจริงจนคนรอบข้างและบริวารต้องรายงานแต่คำชมเพื่อเอาใจ และทำให้ตัวเองเชื่อว่าเป็นนายกรัฐมนตรีที่มีประชาชนรัก เป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจที่มีความสามารถ วันนี้ หากนายกรัฐมนตรียอมไปเดินตลาดและเปิดใจจะรู้ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาเป็นนายกรัฐมนตรี ที่น่ารังเกียจที่สุดของประเทศไทยที่ประชาชนอยากจะยกป้ายประท้วง ปาสีปาไข่ใส่ รวมทั้งขอแนะนำว่า ต้องเลิกคิดว่า การเป็นโจรกบฏในปี 2557 คือการเป็นฮีโร่ เป็นวีรบุรุษ เป็นบุญเป็นคุณกับประเทศแห่งนี้ เพราะในความเป็นจริงของประเทศทุกวันนี้ ควรเรียกว่าเป็นทรราชย์ก่อกรรมทำเข็ญให้กับประเทศมากกว่า
“ต้องสำนึกตัวได้แล้วว่าเป็นนายกรัฐมนตรีมาเกือบ 7 ปี มีอำนาจตามมาตรา 44 เป็นรัฐบาลที่มีการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินยาวนานมากที่สุดเป็นประวัติศาสตร์ มีองค์กรอิสระ มี ส.ว.250 คนที่แต่งตั้งขึ้นมาเองคอยทำงานรับใช้ให้อยู่เหนือกฎหมาย ใช้งบประมาณทั้งหมดสูงถึง 20 ล้านล้านบาท ซึ่งเงินก้อนนี้สูงถึงขนาดที่สามารถให้มีประชาชนถูกลอตเตอรี่รางวัลที่ 1 ได้จำนวน 3 ล้านกว่าคน และถ้าแจกคนไทยทั้งประเทศ 67 ล้านคน จะได้คนละ 3 แสนบาท ส่งเยาวชนเรียนตั้งแต่ระดับชั้นประถมศึกษาถึงปริญญาตรีได้ถึง 10 ล้านคน การมีอำนาจขนาดนี้ กลไกช่วยเหลือเต็มไปหมด งบประมาณมหาศาลขนาดนี้ แต่กลับมีสติปัญญาทำประเทศได้ตกต่ำด่ำดิ่ง ทำให้คนไทยหมดอนาคตได้ถึงเพียงนี้ จึงหมดความชอบธรรมไปแล้ว และอย่าคิดไปสมคบคิดที่จะไปร่วมมือทำการกบฏรัฐประหารอีก หมดเวลาของ พล.อ.ประยุทธ์แล้ว ออกไปเพื่อให้บ้านเมืองได้เจริญเสียที ออกไปให้ประเทศนี้มีฟ้าสีทองผ่องอำไพ ให้ประชาชนได้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน เผด็จการจะได้พินาศและประชาราษฎร์จะได้เจริญ”
เริ่มแล้ว! เพื่อไทย ก้าวไกล รวมเสียงพรรคร่วมฝ่ายค้าน 6 พรรค ปิดสวิตช์สว.
ทิม พิธา ซัด กองทัพที่เป็นประชาธิปไตย จะไม่แสดงความเห็นทางการเมือง
