ชัยชนะ จวก! เพื่อไทย กลับลำหาเสียง ‘เงินดิจิทัลวอลเล็ต’ ว่าจะไม่กู้เงิน ออก พ.ร.บ.กู้ หวังโยนบาปให้ สส.ที่ลงมติไม่เห็นด้วย
วันที่ 12 พ.ย. 2566 นายชัยชนะ เดชเดโช ส.ส. และรักษาการรองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงนโยบาย เงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ในขณะนี้ว่า นโยบายดังกล่าวถือเป็นการเทหน้าตักอีกเรื่องของพรรคเพื่อไทยในช่วงการจัดตั้งรัฐบาล เพราะต้องการจะดันให้เกิดขึ้นให้ได้ เพื่อหวังคะแนนเสียงในการเลือกตั้งครั้งต่อๆ ไป โดยหวังว่าจะสามารถสร้างภาพจำให้กับประชาชนในเรื่องของประชานิยม ซึ่งตลอดมาถือว่าถ้านึกถึงพรรคเพื่อไทยก็ต้องนึกถึงนโยบายทำนองนี้ รวมทั้งยังเป็นการทุ่มหมดหน้าตักทางด้านตัวบุคคล
นายชัยชนะ กล่าวต่อว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ตั้งใจจะมาควบตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ด้วยตนเอง มีการส่งขุนพลคู่ใจอย่าง นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ มาเป็นรมช.คลัง และเอาข้าราชการประจำที่เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจอย่างนายกฤษฎา จีนะวิจารณะ รมช.คลัง มาเป็นมือไม้ โดยหวังเกลี้ยกล่อมให้ข้าราชการประจำคล้อยตามนโยบายดังกล่าว แต่ปรากฏว่ามาจนถึงวันนี้ ก็ไม่มีข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ในกระทรวงฯ แสดงท่าทีว่าจะสนับสนุนนโยบายนี้
นายชัยชนะ กล่าวต่อว่า เท่าที่มีการสำรวจความคิดเห็นของประชาชน ก็ไม่มั่นใจว่านโยบายนี้จะกระตุ้นเศรษฐกิจได้จริง เหมือนกับการนำเงินที่ไม่รู้ว่ามีจริงหรือไม่ มาใช้ดำเนินนโยบายโดยวัดดวงแบบไปตายเอาดาบหน้า และได้สะท้อนกลับมาอย่างจริงจังว่า ขอเป็นเงินสดที่ใช้ได้จริง ณ วันนี้ ไม่ใช่เงินสกุลในอากาศที่เขาต้องรอกระบวนการต่างๆ มากมาย ซึ่งเชื่อว่า มีช่องทางในการทุจริตตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ
นายชัยชนะ กล่าวอีกว่า นโยบายเงินดิจิทัล 10,000 บาท เข้าทำนองที่ว่า “กลับไม่ได้ ไปไม่ถึง” เพราะก่อนหน้านี้พรรคเพื่อไทยก็โฆษณาหาเสียงว่า จะดำเนินนโยบายโดยไม่มีการกู้เงินมาอย่างแน่นอน แต่ปรากฏว่าสุดท้ายต้องหาทางลงแบบไม่ให้เสียหน้ามาก โดยเปิดช่องให้มีการตราเป็นพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.) เพื่อต้องการให้ สส.ที่ไม่เห็นด้วย ลงมติไม่เห็นชอบ และหวังจะโยนบาปว่า ที่ทำนโยบายไม่ได้ เพราะ สส.ที่ลงมติไม่เห็นชอบ จะได้มาเป็นข้ออ้างเพื่อเรียกร้องความสงสารจากประชาชน
“ผมอยากให้รัฐบาลและพรรคเพื่อไทย นำเสียงจากประชาชนมาปรับปรุงนโยบายดังกล่าว ซึ่งถือว่ายังมีเวลาที่จะเปลี่ยนแปลงแนวทางในการทำนโยบาย โดยยึดถือประโยชน์ที่ประชาชนจะได้เป็นสำคัญ มากกว่าจะดันทุรังเพื่อให้คนไม่กี่คนได้ประโยชน์บนความทุกข์ของประชาชนและลูกหลานในอนาคตด้วย” นายชัยชนะ กล่าว
นายชัยชนะ กล่าวอีกว่า ตนเข้าใจว่า พรรคเพื่อไทยต้องการรักษาแนวทางประชานิยมที่ทำให้ตนเองได้คะแนนนิยมมาตลอดในการเลือกตั้ง และ นโยบายนี้ถือเป็นการเทหมดหน้าตักของจริง ซึ่งตนเห็นว่า น่าจะเป็นเที่ยวสุดท้าย เพราะก่อนหน้านี้เรื่องนโยบายจำนำข้าวก็มีการดำเนินการไปจนสุดซอย แต่ผลลัพธ์ที่ออกมาปรากฏว่า ประเทศติดหนี้โครงการดังกล่าวมหาศาล จนต้องมีการตั้งงบประมาณเพื่อชดใช้เงินคงคลังมาตลอดหลายปี
นายชัยชนะ กล่าวต่อว่า เชื่อว่ารัฐบาลนี้จะต้องตั้งงบประมาณชดใช้โครงการที่พรรคเพื่อไทยเป็นผู้ก่ออีกด้วย ซึ่งนโยบายเงินดิจิทัล 10,000 บาท ตนเกรงว่าหากดึงดันทำไปแล้วจะส่งผลเสียต่อประเทศในระยะยาว เพราะไม่สามารถคาดเดาไว้ว่า อัตราเงินดิจิทัลจะมีอัตราแลกเปลี่ยนเท่าใดในช่วงเวลาที่ดำเนินโครงการ ซึ่งมีความเสี่ยงมาก
นายชัยชนะ กล่าวอีกว่า ถ้ารัฐบาลและพรรคเพื่อไทย ต้องการอยากจะกระตุ้นเศรษฐกิจของประชาชนจริงๆ ต้องหานโยบายที่มีความเหมาะสม เพื่อให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องมีความสบายใจ และเต็มใจที่จะช่วยเหลือและเข้าร่วมโครงการ เพื่อให้ประสบความสำเร็จตามที่ผู้วางนโยบายคาดหวังเอาไว้
