ชาวบ้านในพื้นที่ 3 ตำบลของอำเภอสากเหล็ก ยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมกรณีรัฐยกเลิกสิทธิในที่ดินของประชาชน ทั้งที่เป็น นส 3 ก และ โฉนด ส่งผลกระทบสถานที่ราชการ วัด บ้านเรือนประชาชน ผู้ได้รับผลกระทบ 1,171 ราย เนื้อที่รวม 15,703 ไร่
ที่วัดโปร่งราษฏร์ ตำบลคลองทราย อำเภอสากเหล็ก จังหวัดพิจิตร ตัวแทนประชาชนกว่า 200 คน เข้าให้ข้อมูลพร้อมยื่นหนังสือขอความเป็นธรรม ต่อคณะกรรมการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน และ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริต กรณีได้รับความเดือดร้อนจากการดำเนินการกำหนดให้พื้นที่ 3 ตำบล ประกอบด้วย ตำบลคลองทราย ตำบลท่าเยี่ยม และตำบลหนองหญ้าไทรเป็นป่าอนุรักษ์ และมีการเพิกถอนสิทธิที่ดินของประชาชนที่มีเอกสารสิทธิ์เป็น นส 3 ก และเป็นโฉนดที่ดินที่ออกให้มาตั้งแต่ พุทธศักราช 2525 และ พุทธศักราช 2540 กลับคืนเป็นป่าไม้ ส่งผลกระทบต่อประชาชน จำนวน 1,171 ราย เนื้อที่รวม 15,703 ไร่
ชาวบ้านในพื้นที่เผยตกใจกับการดำเนินการของภาครัฐเนื่องจากอยู่กันมานานตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 และบริเวณดังกล่าวไม่มีสภาพความเป็นป่ามายาวนานแล้ว ผลกระทบในปัจจุบันไม่มีหลักทรัพย์ในการค้ำประกัน หรือกู้ยืมเงินเพื่อทำการเกษตรโดยเฉพาะมะม่วงซึ่งเป็นสินค้าหลักที่ส่งออกต่างประเทศ และในอนาคตเกรงอนาคตจะไม่มีที่อยู่ ที่ทำกิน วอนภาครัฐพิจารณาถึงความเป็นจริงเพื่อแก้ปัญหาให้กับประชาชนในพื้นที่
นายเสน่ห์ กองแก้ว ชาวบ้านตำบลคลองทราย กล่าวว่า หลังจากสำนักงานโยธาธิการและผังเมืองมีการประกาศเป็นพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ป่าลุ่มน้ำวังทองฝั่งซ้าย ทำให้ส่งผลกระทบกับประชาชนในพื้นที่ 3 ตำบล 11 หมู่บ้าน ทั้งที่ประชาชนอยู่ที่นี่มาตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ราชการได้มีการประกาศเป็นป่าไม้ถาวรเมื่อปีพุทธศักราช 2509 ต่อมาปีพุทธศักราช 2515 มีหนังสือยกเลิกป่าไม้ถาวร ปีพุทธศักราช 2522 เริ่มมีการออกเอกสารสิทธิ์หนังสือรับรองการใช้ประโยชน์ที่ดิน พุทธศักราช 2525 เริ่มมีการออกเอกสาร นส. 3 ก ปีพุทธศักราช 2540 เริ่มมีการออกโฉนด และปี 2547 มีการรังวัดทั้งพื้นที่เพื่อออกโฉนดตามนโยบายแปลงสินทรัพย์ให้เป็นทุน แต่เมื่อปี 2558 สำนักงานโยธาธิการและผังเมืองมีการประกาศเป็นพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ จึงมีการขอคืนโฉนดจากประชาชนทั้งหมดส่งผลกระทบกับประชาชนระยะแรกคือเอกสารสิทธิที่ใช้ในการค้ำประกัน กู้ยืมเงินกับสถาบันการเงิน โดยเฉพาะ ธกส ที่ประชาชนกู้ยืมเงินเพื่อทำการเกษตร
นายเสน่ห์ กองแก้ว กล่าวว่าอีกว่า ขอวอนให้ภาคราชการยกเลิกเรื่องของประกาศพื้นที่เป็นป่าสงวนเนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวไม่มีความเป็นสภาพพื้นที่ป่ามาอย่างยาวนาน ปัจจุบันมีทั้งสถานที่ราชการ ที่ทำการ อบต. วัด โรงเรียน เพื่อประโยชน์กับชาวบ้าน เพราะในขณะนี้เองประชาชนส่วนใหญ่หวั่นใจว่าต่อไปในอนาคตอาจจะต้องถูกออกจากพื้นที่ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นก็จะส่งผลกระทบกับประชาชนเป็นอย่างมาก
