วันนี้ (30 มิ.ย.60) อธิบดีกรมธนารักษ์ ลงพื้นที่ราชพัสดุใน ซ.เจริญนคร 7 ที่จะเปิดให้เอกชนเข้ามาพัฒนาเป็น “หอชมเมือง” ขณะที่ชาวบ้านโดยรอบก็มีทั้งที่เห็นด้วยว่าโครงการจะนำความเจริญเข้ามา แต่บางส่วนก็กังวลใจว่าอาจจะต้องถูกรื้อย้าย โดยเฉพาะคนที่ต้องปลูกบ้านบนที่ดินเช่า ติดตามรายงานได้จาก คุณธิดารัตน์ อนันตรกิตติ ผู้สื่อข่าวไบรท์นิวส์
ชาวบ้านชุมชนมัสยิดสุวรรณภูมิ ซึ่งเป็นผู้ถือครองที่อยู่และมีแต่ทะเบียนบ้านแต่ไม่มีกรรมสิทธิ์ที่ดิน จึงกังวลเป็นอย่างมากว่าหาก กทม. สร้างหอชมเมือง ชาวบ้านเหล่านี้จะถูกไล่ที่ โดยชาวบ้านในชุมชนดังกล่าวแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนที่ผู้ถือครองสิทธิ์มีโฉนดที่ดิน และไม่มีโฉนดที่ดิน จึงทำให้ความคิดเห็นต่างแบ่งออกเป็นสองส่วน จากการลงพื้นที่สำรวจบ้านทีมข่าวไบรท์นิวส์ที่เป็นห้องแถวของชาวบ้านที่ไม่มีโฉนด ซึ่งอาศัยเช่าห้องอยู่เดือนละ 300 บาท มีผู้อาศัยอยู่ไม่ต่ำกว่า 1 ร้อยคน ต่างก็กังวลกันว่า และถ้าหากมีการก่อสร้างโครงการขึ้นเกรงว่าตนเองจะไม่มีที่อยู่ ในอีกมุมหนึ่งก็มีชาวบ้านที่เห็นด้วยกับโครงการนี้ ซึ่งเป็นชาวบ้านที่มีโฉนดที่ดิน ต่างมองว่า การสร้างหอชมเมืองของกรุงเทพมหานครนั้น เป็นสิ่งที่นำความเจริญเข้ามาให้กับชุมชน และไม่มีข้อกังวลใด ๆ หากมีการก่อสร้าง
ทั้งนี้ เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา นายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมธนารักษ์ ลงพื้นที่ราชพัสดุ กว่า 4 ไร่ ตรงนี้ที่จะเปิดให้เอกชนเข้ามาพัฒนาเป็น “หอชมเมือง” โดยไม่ต้องประมูล ซึ่งทางอธิบดีกรมธนารักษ์ ชี้แจงว่า โครงการนี้ดำเนินการถูกต้องตาม พ.ร.บ.การให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ.2556 ที่ให้มูลนิธิหอชมเมืองกรุงเทพฯ ดำเนินโครงการ โดยรัฐร่วมลงทุนเฉพาะให้พื้นที่ราชพัสดุเช่า 198 ไร่เท่านั้น อีกทั้งพื้นที่ดังกล่าวเป็นที่ดินตาบอด ซึ่งใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้มากแต่ทางมูลนิธิหอชมเมืองกรุงเทพฯ ระบุว่าพื้นที่ดังกล่าวมีความน่าสนใจ และหากมีการเปิดประมูลเพื่อหาเอกชนมาพัฒนาพื้นที่ก็ไม่รู้ว่าจะมีใครสนใจหรือไม่ เนื่องจากมูลค่าโครงการที่ค่อนข้างสูง อย่างไรก็ตาม หากโครงการนี้แล้วเสร็จก็จะสร้างมูลค่าให้กับพื้นที่โดยรอบอย่างมา อย่างไรก็ตาม โครงการนี้ยังคงจะต้องเดินหน้าต่อไปแน่นอนแล้ว สิ่งหนึ่งที่จะต้องติดตามก็คือการดูแลชุมชนและชาวบ้านโดยรอบต่อไป