เรื่องราวของป๋าแหง๋มที่ถูกแท็กซี่ใจร้อนขับปาดหน้า ก่อนลงมาพร้อมกับชักมีดดาบมาขู่ ก่อนขับรถหลบหนีไป ยังไม่จบง่ายๆ ล่าสุด “ป๋าแหง็ม” ตั้งโต๊ะแถลงข่าวตอบโต้แท็กซี่ที่ไปให้ปากคำวันที่เข้ามอบตัวกับตำรวจว่า มีเรื่องกันมาก่อน เนื่องจาก “ป๋าแหง็ม” ได้ขับรถปาดหน้าด้วยซึ่ง “ป๋าแหง็ม” ก็ชี้แจงว่า ตนเองขับรถมาตามปกติ ไม่ได้ปาดหน้าตามที่แท็กซี่อ้างกับตำรวจแต่อย่างใด
เมื่อช่วงเที่ยงที่ผ่านมา นายศักดินา รักษ์อุดมการณ์ หรือ “ป๋าแหง็ม” ผู้สื่อข่าวไบรท์ทีวี เจ้าของวลี “ครับเจ้านาย” ชี้แจงหลังกรณีเหตุการณ์ที่ “ป๋าแหง็ม” ถูกรถแท็กซี่สีส้ม ทะเบียน ทส 3806 กทม. ที่มี นายบุญสนอง บรรยงค์ เป็นคนขับ และยังถือมีดดาบลงมาจะทำร้าย เหตุเกิดบริเวณด้านหน้าธนาคารไทยพาณิชย์ สำนักงานใหญ่ ถนนรัชดาภิเษก เมื่อช่วงเช้าวันที่ 2 กันยายน ที่ผ่านมา
“ป๋าแหง็ม” ชี้แจงพร้อมกับเปิดคลิปวงวจรปิดหน้ารถวันที่เกิดเหตุ ว่า หลังจากที่คู่กรณีเดินทางไปมอบตัวที่ สน.พหลโยธิน เมื่อวันพุธ พร้อมกับให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่ว่า ตนเองและคนขับแท็กซี่มีเรื่องกันมาก่อนหน้านี้ โดยการขับรถปาดหน้ากันไปมา แต่ไม่ได้ลงมือทำร้ายกัน ซึ่งการให้ปากคำในลักษณะนี้ อาจทำให้สังคมเข้าใจว่า ตนเองก็เป็นฝ่ายผิดด้วย เพราะสังคมจะมองว่า ตนเองก็ไปหาเรื่องแท็กซี่เช่นกัน จึงจำเป็นต้องออกมาชี้แจงพร้อมกับเปิดคลิปวงจรปิดให้สังคมรับทราบอีกครั้ง ซึ่งภาพวงจรปิดก็ยืนยันชัดเจนเป็นอย่างดีว่า ตนเองขับรถมาตามทางปกติตั้งแต่ออกจากช่อง 9 อสมท. ที่ตนเองเพิ่งเสร็จจัดรายการวิทยุ จนมาถึงจุดเกิดเหตุก็ไม่มีท่าทีจะไปขับปาดหน้าใคร กระทั่งแท็กซี่คู่กรณีมาขับปาดหน้าพร้อมกับถือมีดลงมาขู่ตามที่ปรากฏในคลิป ซึ่งภาพจากวงจรปิดชัดเจนมาก ไม่เข้าใจว่าคนขับแท็กซี่ให้การว่าตนเองไปปาดหน้าได้อย่างไร เกรงว่า หากตนเองไม่ออกมาชี้แจง จะทำให้สังคมมองว่า ตนเองเป็นสื่อฯ สามารถทำอะไรตามใจหรือหาเรื่องใครก็ได้ จากนี้ขอปรึกษากับทนายว่าจะแจ้งข้อหาโชเฟอร์แท็กซี่รายนี้เพิ่มหรือไม่
ด้าน นายวิฑูรย์ แนวพานิช ประธานเครือข่ายสหกรณ์แท็กซี่ในเขตกรุงเทพมหานคร ก็ได้เดินทางมามอบดอกไม้พร้อมขอโทษ “ป๋าแหง็ม” ในฐานะตัวแทนคนขับแท็กซี่ทั่วกรุงเทพฯ โดยกล่าวว่า อยากให้เหตุการณ์ที่ “ป๋าแหง็ม” เจอ เป็นกรณีศึกษาให้กับผู้ประกอบการอู่รถแท็กซี่ทั่วกรุงเทพฯ ในการออกมาตรการและป้องกันปัญหาคนขับแท็กซี่มีเรื่องกับผู้โดยสาร และไม่ให้แท็กซี่พกพาอาวุธหรือสิ่งเทียมที่จะใช้เป็นอาวุธได้ขึ้นรถไปด้วย เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นกับผู้โดยสารคนอื่นอีก