เด็กหญิงวัย 14 ปีที่ต้องสู้ชีวิตหลังประสบอุบัติเหตุจากรถพ่วงจนพิการเดินไม่ได้ สุดท้ายสู้คดีจนคู่กรณีชดใช้ค่าเสียหาย 5 ล้านบาท แต่เกิดเรื่องไม่คาดฝันเมื่อทนายว่าความให้โกงหน้าตาเฉย ติดต่อไปหลายครั้งและเคยร้องเรียนไปที่สภาทนายความ มูลนิธิปวีณาฯ และศูนย์ดำรงธรรม แต่เรื่องกลับเงียบ
28 มิ.ย.60 น.ส.พรทิพย์ จันทรัตน์ อายุ 44 ปี ชาวบ้าน ม.7 ต.บางตลาด อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี หญิงสาววัยกลางคนเข็นรถวิลแชร์ที่มี ด.ญ.ภัทรดา หรือ “น้องบีม” แก้วผ่อง อายุ 14 ปี ซึ่งเป็นลูกสาวนั่งตระเวนขายของตามศาลาวัดชลประทานรังสฤษดิ์ ต.บางตลาด อ.ปากเกร็ด เพื่อหาเงินเลี้ยงตัวเองและบุตรสาวในแต่ละวัน โดยแขกที่มาร่วมในงานศพต่างร่วมใจช่วยเหลือซื้อของจนเป็นที่ทราบกันดีของชาวบ้านใกล้เคียงรวมทั้งพระภิกษุสงฆ์จนถึงเด็กวัด เพราะเห็นถึงความรักของแม่และลูก โดยทั้งคู่ขายของภายในวัดชลประทานฯ มานานหลายปีแล้วเพื่อหาเงินเลี้ยงชีพไปวัน ๆ และไม่มีใครรู้เลยว่าชีวิตปูมหลังสุดแสนรันทดใจยิ่งกว่าละคร
น.ส.พรทิพย์ เปิดเผยถึงชีวิตที่แสนรันทดให้กับผู้สื่อข่าวฟัง ว่า เมื่อวันที่ 10 ก.พ.48 ตนกับสามี คือ นายอรุณรัตน์ แก้วผ่อง พร้อมด้วย “น้องบีม” ลูกสาว นั่งรถกระบะของเพื่อนสามีไปประสบอุบัติเหตุชนกับรถพ่วง 18 ล้อที่ อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี ทำให้ นายอรุณรัตน์ เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ ตัวเองบาดเจ็บสาหัส ส่วน “น้องบีม” กระดูกทับไขสันหลังกลายเป็นคนพิการเดินไม่ได้จนถึงทุกวันนี้ต้องนั่งอยู่แต่บนรถวิลแชร์
หลังจากนั้นทางครอบครัวได้รับการช่วยเหลือจาก นายพิสิษฐ์ สัมมาเลิศ ทนายความที่รับอาสาว่าความให้จนกระทั่งต่อมาปี 2557 นายพิสิษฐ์ แจ้งว่าศาลจังหวัดสุราษฎร์ธานีมีคำพิพากษาให้คู่กรณีจ่ายเงินให้ครอบครัวตนเอง 1 ล้านบาท โดยจะจ่ายให้เป็นงวด ๆ งวดละ 40,000 บาท จากนั้นได้นำหนังสือมอบอำนาจมาให้ตนเซ็นโดยอ้างว่าตนเองไม่สะดวกเดินทางตนจึงได้เซ็นให้ไป และได้รับเงินเดือนละ 40,000 บาท เป็นเวลา 7 เดือน ก่อนจะหยุดให้ในเวลาต่อมา เมื่อตนทวงถาม นายพิสิษฐ์ จะบ่ายเบี่ยงและอ้างว่าทางคู่กรณียังไม่ได้จ่ายมา
น.ส.พรทิพย์ กล่าวด้วยน้ำตาคลอเบ้า ว่า ตนเองจึงได้ติดต่อไปที่บริษัทเพื่อสอบถามถึงสาเหตุแต่แล้วก็ต้องแทบช๊อคหัวใจสลายเมื่อทราบว่าทางบริษัทรถพ่วง 18 ล้อ จ่ายเงินค่าเสียหายให้กับครอบครัวตนเองมา 5 ล้านบาทแล้ว โดยมีทนายพิสิษฐ์ เป็นผู้รับมอบอำนาจจากตนเองมา ตนจึงสอบถามเขาไปเขาก็ยอมรับและบอกว่าจะหาเงินมาใช้พร้อมนำดอกไม้ธูปเทียนมาขอขมา จากนั้นก็เปลี่ยนมือถือและติดต่อไม่ได้อีกเลย ตนเองไม่มีความรู้ด้านกฎหมายก็ไม่รู้ว่าจะไปสู้รบปรบมือกับเขาได้อย่างไร เคยร้องเรียนไปที่สภาทนายความ มูลนิธิปวีณาฯ และศูนย์ดำรงธรรม แต่เรื่องก็เงียบหายไป ถ้าทนายคนนี้ยังมีชีวิตอยู่และรู้ว่าตนเองกับลูกสาวลำบากขนาดไหน ขอให้เขาคืนเงินให้กับตนเองและลูกด้วย เพราะ “น้องบีม” ไม่น่าที่จะต้องมามีชีวิตที่ลำบากขนาดนี้หากเขาไม่โกงเงินของตนกับลูกสาวไป
สำหรับ ด.ญ.ภัทรดา หรือ “น้องบีม” แก้วผ่อง นั้นปัจจุบันเรียนอยู่ชั้น ม.2 โรงเรียนศรีสังวาลย์ ซึ่งเป็นโรงเรียนคนพิการในสังกัดกระทรวงพัฒนาการและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เป็นเด็กสาวหน้าตาดี มีผลการเรียนดีเกรดเฉลี่ย 3.8 เป็นหนึ่งในนักร้องประสานเสียงคอรัสหมู่ที่ร่วมกับเพื่อน ๆ ร้องเพลง “Que Sera, Sera (Whatever Will Be Will Be)” ในโฆษณาของบริษัทไทยประกันชีวิต ที่มีความไพเราะแสนเศร้ากินใจคนฟังจนเป็นที่รู้จักกันดีในโฆษณาชุดนี้ที่แสดงออกถึงความรัก ความสามัคคี ความเข้มแข็ง ในการต่อสู้ชีวิตของคนพิการที่ไม่เคยย่อท้อนั่นเอง