ใครจำกันได้กับอดีตมือกลองชื่อดังฝีมือเยี่ยมอย่าง “เชษฐ์ สไมล์บัฟฟาโล” ทุกวันนี้มาดูกันว่า เมื่อเข้าสู่การใช้ชีวิตพอเพียงตามพระราชดำรัสในหลวง ร.9 จะเป็นอย่างไร โดยเฉพาะการนำข้าวสารพระราชทานมาปลูกเพื่อขยายพันธุ์ข้าวตามพระราชดำรัสของพระองค์
นายวรเชษฐ์ เอมเปีย หรือที่เรารู้จักกันในนาม “เชษฐ์ สไมล์บัฟฟาโล” นักดนตรีมือกลองฝีมือเยี่ยมที่ตัดสินใจหันหลังให้วงการดนตรี และเดินหน้าทำนาใช้ชีวิตอยู่อย่างพอเพียงในพื้นที่ อ.พนัสนิคม จ.ชลบุรี โดยทุกวันนี้ เชษฐ์ สไมล์บัฟฟาโล หันมาทำเกษตรอินทรีย์ทำนา ทำสวน ซึ่งจุดเปลี่ยนที่หันไปทำนานั้น เนื่องจากเมื่อก่อนยังคงอยู่กรุงเทพฯ และมีโครงการเปิดโรงเรียนสอนดนตรีของตัวเอง และยังสอนนักเรียนโครงการทูบีนัมเบอร์วัน ตามไปสอนหลาย ๆ จังหวัด แต่สุดท้ายเมื่อคุณแม่ล้มป่วยและได้กลับมาดูแลคุณแม่ จึงตัดสินใจกลับคืนรากเลือกที่จะทำอาชีพทำนา ซึ่งบอกตรง ๆ ว่า ที่ผ่านมาได้เรียนรู้จากธรรมชาติ ตายไปเราก็เอาอะไรไปไม่ได้ ใช้ชีวิตพอเพียงดีกว่าตามคำสอนของในหลวงรัชกาลที่ 9
ในตอนนี้ “เชษฐ์ สไมล์บัฟฟาโล” เปิดเผยด้วยความภาคภูมิใจ ว่า เขาดำเนินชีวิตด้วย 3 หลัก คือ ธรรมะ ธรรมชาติ ธรรมดา โดยที่ธรรมะ คือการใช้สติบังคับตัวเอง ไม่ให้ทำอะไรผิดพลาด ก่อนหน้านี้กิเลสเยอะ บางทีก็ซื้อรถแบบไม่มีสติ พอดำเนินชีวิตตามธรรมะก็มีสติมากขึ้น ส่วนธรรมชาติ คือ การใช้ชีวิตอย่างเป็นธรรมชาติ อยู่กับธรรมชาติ และธรรมดา คือ การใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย นอนกางมุ้งไม่มีแอร์ คนเราบ้านใหญ่ขนาดไหนก็ต้องนอนในห้องนอน และสุดท้ายบั้นปลายชีวิตเราก็ต้องไปนอนในโลงศพ ดังนั้น ขอเลือกใช้ชีวิตแบบธรรมดาและอิงกับธรรมชาติดีกว่า ซึ่งตอนที่ได้เข้าไปกราบพระบรมศพพระองค์ท่านซึ่งมีการแจกข้าวพระราชทาน โดยบางคนนั้นจะนำไปเก็บบูชา ส่วนตนเองก็นำมาปลูกเพื่อขยายพันธุ์กล้าให้มากยิ่งขึ้นตามพระราชดำรัสของพระองค์ท่าน
ส่วนเส้นทางด้านสายดนตรีนั้น “เชษฐ์ สไมล์บัฟฟาโล” ไม่ได้ยึดการเล่นดนตรีเป็นอาชีพหลักแล้ว เพราะอาชีพหลักคือการปลูกป่า ทำไร่ ทำนา ส่วนคอนเสิร์ตไปตามงานบุญ และคอนเสิร์ตใหญ่ ๆ เพื่อนำเงินสนับสนุนมาคืนสู่สังคมในที่สุด