จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมีคำสั่งให้ นายเนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล นิสิตคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ และสมาชิกอีก 4 คน พ้นจากการเป็นสมาชิกสภานิสิตสามัญ และพ้นจากตำแหน่งประธานสภานิสิตจุฬาฯ โดยปริยาย ในขณะที่สภานิสิตฯ ออกแถลงการณ์โต้ ไม่ยอมรับคำสั่งดังกล่าว พร้อมกับบี้ให้จุฬาฯ เร่งเปิดเผยผลการสอบอาจารย์ที่ล็อกคอเด็กในวันที่เกิดเหตุด้วย ด้าน “เนติวิทย์” เตรียมอุทธรณ์ ภายใน 30วัน
หลังจากเมื่อวานนี้ (31 ส.ค.) มีข่าวการตัดคะแนนความประพฤตินายเนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล นิสิตคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และพวกอีก 4 คนๆ ละ 25 คะแนน ส่งผลให้นายเนติวิทย์และพวก พ้นสภาพการเป็นสมาชิกสภานิสิตจุฬาฯ โดยปริยาย เนื่องจากตามระเบียบนั้น สมาชิกสภานิสิตแต่ละคนจะถูกตัดคะแนนความประพฤติได้ไม่เกินคนละ 20 คะแนน และโดยเฉพาะนายเนติวิทย์นั้น ต้องพ้นสภาพการเป็นประธานสภานิสิตจุฬาฯ ไปด้วย
จากนั้นในช่วงค่ำ นายเนติวิทย์ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมีคำสั่งปลดตน และเพื่อนอีก 4 คน ที่ดำรงตำแหน่ง สมาชิกสภานิสิตสามัญ ออกจากตำแหน่ง เนื่องจากถูกตัดคะแนนความประพฤติในกรณีถวายสัตย์คนละ 25 คะแนน ทำให้ตนพ้นจากตำแหน่งประธานสภานิสิตด้วย
นายเนติวิทย์ระบุว่า “ในวันนี้ ผมได้รับคำสั่งจากทางจุฬาฯ ให้ปลดผมและเพื่อนๆ อีก 4 คน ที่ดำรงตำแหน่งสมาชิกสภานิสิตสามัญ พ้นออกจากตำแหน่ง เนื่องจากถูกตัดคะแนนความประพฤติในกรณีถวายสัตย์คนละ 25 คะแนน ซึ่งรวมถึงเพื่อนอีก 3 คน ที่กรรมาธิการสภาด้วย ทำให้ผมพ้นจากตำแหน่งประธานสภานิสิตด้วย
นอกจากนี้ยังมีข้อหาหนึ่ง คือ การจัดทำประชาพิจารณ์รับฟังปัญหาของผู้ค้าสวนหลวงสแควร์ ซึ่งยังไม่ได้รับคำตัดสิน ส่วนท่านอาจารย์ที่ได้ล๊อกคอนิสิตนั้น มหาวิทยาลัยได้ตั้งกรรมการสอบสวนด้วย แต่ผลการตัดสิน ณ ตอนนี้ยังไม่มีผลออกมา ทั้งๆ ที่มหาวิทยาลัยได้เริ่มกระบวนการสอบสวนก่อนผม และเพื่อนๆ เสียอีก อย่างไรก็ดี ทางเราจะยังต่อสู้ต่อไปโดยอุทธรณ์ต่อทางมหาวิทยาลัย”
เวลาต่อมา นายเนติวิทย์ ยังโพสต์ข้อความด้วยว่า “ขออย่าได้สิ้นหวังกับสังคมนี้ แม้จะมีอุปสรรคอยู่มาก แต่ถ้าเราช่วยกันเป็นอิฐคนละก้อน เราจะข้ามพ้นมันไปได้ในที่สุด”
ในคืนวันเดียวกัน เพจเฟซบุ๊กสภานิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย SCCU โพสต์ว่า ตามที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้มีคำสั่งที่ ๔๙๒๙/๒๕๖๐ เรื่อง ให้สมาชิกสภานิสิตสามัญพ้นจากตำแหน่ง กรณีที่สมาชิกสภานิสิตสามัญถูกลงโทษตัดคะแนนความประพฤตินิสิตจำนวน ๒๕ คะแนน ในข้อกล่าวหาที่ว่าสมาชิกสภานิสิตสามัญกลุ่มนี้ได้ประพฤติตนไม่เหมาะสม โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อชื่อเสียงของมหาวิทยาลัยในพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณตนเมื่อวันที่ ๓ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๖๐ ตามคำสั่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยที่ ๔๙๒๘/๒๕๖๐
สภานิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยอันมาจากการเลือกตั้งของนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ขอแสดงจุดยืนไม่ยอมรับคำสั่งทั้ง ๒ ฉบับดังกล่าว และขอเรียกร้องให้คณะกรรมการชี้แจงกระบวนการพิจารณาและข้อกล่าวหาอย่างชัดเจนแก่นิสิตที่ถูกสอบสวน รวมทั้งเปิดโอกาสให้นิสิตที่ถูกสอบสวนได้มีระยะเวลาในการรวบรวมพยานหลักฐานและแก้ข้อกล่าวหาอย่างเต็มที่ในชั้นของการอุทธรณ์ต่อไป
นอกจากนี้ สภานิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยยังขอแสดงความกังวลต่อกระบวนการสอบสวนทางวินัยกับอาจารย์ที่เข้าไปทำร้ายร่างกายนิสิตที่ไม่มีความคืบหน้าออกมาแต่อย่างใด ให้เกิดความเป็นธรรมต่อนิสิตที่ถูกกระทำความรุนแรงด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังจากสภานิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ออกแถลงการณ์ไม่ยอมรับคำสั่งปลด นายเนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล พร้อมด้วยนิสิตคนอื่น ๆ รวม 5 ราย ออกจากการเป็นสมาชิกสภานิสิตจุฬาฯ ล่าสุดเว็บไซต์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย www.chula.ac.th ได้เปิดเผยแถลงการณ์ เรื่อง ความคืบหน้ากรณีเหตุการณ์ความไม่เรียบร้อยในพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณตนของนิสิตชั้นปีที่หนึ่ง เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2560 (ฉบับที่ 3) โดยแถลงการณ์ดังกล่าวมีเนื้อหาดังนี้
สืบเนื่องจากเหตุการณ์ความไม่เรียบร้อยในพิธีถวายสัตย์ฯของนิสิตชั้นปีที่หนึ่งเมื่อวันที่ ๓ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๖๐ ทางจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้มีกระบวนการดำเนินการทั้งในส่วนของอาจารย์และนิสิตที่มีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ดังกล่าว ตามที่ได้นำเสนอข้อมูลให้สาธารณชนรับทราบผ่านสื่อของมหาวิทยาลัยเป็นระยะแล้วนั้น (ความคืบหน้า ฉบับที่ ๑ และ ฉบับที่ ๒)
โดยปกติมหาวิทยาลัยจะไม่เปิดเผยการลงโทษนิสิต หากแต่ขณะนี้มีการเผยแพร่ข้อมูลที่คลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น มหาวิทยาลัยจึงมีความจำเป็นต้องสื่อสารกับสาธารณะถึงกรณีดังกล่าว เพื่อให้เกิดความชัดเจน
ในกรณีนี้ คณะกรรมการส่งเสริมวินัยนิสิตในการประชุมครั้งที่ ๕/๒๕๖๐ เมื่อวันศุกร์ที่ ๒๕ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๖๐ พิจารณาแล้วเห็นว่า การกระทำของนิสิตทั้ง ๘ รายที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ความไม่เรียบร้อยดังกล่าว เป็นการกระทำความผิดวินัยนิสิต เนื่องจากนิสิตทั้ง ๘ รายซึ่งเป็นตัวแทนสภานิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมิได้ประพฤติปฏิบัติตัวตามบทบาทหน้าที่ที่พึงจะเป็น โดยทั้งๆ ที่ทราบอยู่แล้วว่า ตนมีทัศนะที่ไม่ตรงกับขนบธรรมเนียมประเพณีของมหาวิทยาลัยในการถวายสักการะและถวายสัตย์ปฏิญาณเพื่อแสดงตนเป็นนิสิตใหม่ และมหาวิทยาลัยซึ่งตระหนักถึงเสรีภาพทางความคิดของนิสิตได้จัดพื้นที่พิเศษสำหรับนิสิตกลุ่มนี้ไว้แล้ว นิสิตก็ยังแสดงความจำนงเข้าร่วมพิธีในฐานะสภานิสิต แต่ไม่ยืนอยู่ในแถวตามที่ผู้เป็นผู้แทนสภานิสิตพึงกระทำจนกว่าพิธีการจะเสร็จสิ้นเรียบร้อย กลับนัดหมายกันเดินออกจากแถวเพื่อไปทำความเคารพพระบรมราชานุสาวรีย์ฯ ด้วยการโค้งคำนับเพื่อให้แตกต่างและปรากฏภาพที่ขัดแย้งกับนิสิตคนอื่นที่เข้าร่วมถวายสักการะด้วยการถวายบังคม จนนำไปสู่เหตุการณ์ความไม่เรียบร้อยส่งผลทำให้เกิดความเสื่อมเสียต่อมหาวิทยาลัย อีกทั้งนิสิตยังได้เผยแพร่ข้อมูลที่มีการบิดเบือนข้อเท็จจริงเพื่อสร้างให้เรื่องราวที่ดูเสมือนความขัดแย้งนี้เป็นประเด็นในสื่อต่างๆ อย่างต่อเนื่อง โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อชื่อเสียงมหาวิทยาลัยและสะท้อนถึงการไม่เคารพต่อสิทธิและเสรีภาพของผู้อื่นที่มีทัศนะแตกต่างจากตน โดยเฉพาะของประชาคมทั้งนิสิต บุคลากร และนิสิตเก่าอื่นๆ ที่ให้คุณค่าและมีศรัทธาต่อพิธีถวายบังคมเพื่อแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อพระผู้พระราชทานกำเนิดและพระผู้ทรงสถาปนามหาวิทยาลัย และพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณตนอันเป็นที่หล่อหลอมนิสิตใหม่เข้าสู่การเป็นสมาชิกใหม่ตามประเพณีและขนบธรรมเนียมของมหาวิทยาลัย จึงเสนอมหาวิทยาลัยให้ลงโทษนิสิตทั้ง ๘ รายด้วยการตัดคะแนนความประพฤติ
อนึ่ง ในส่วนของการสอบสวนและประมวลข้อเท็จจริงในส่วนของอาจารย์ ได้ดำเนินการไปแล้วบางส่วน แต่ยังขาดผลการให้ข้อเท็จจริงในส่วนของนิสิตที่เกี่ยวข้องซึ่งไม่ว่างมาให้ข้อเท็จจริง แต่ได้นัดหมายจะมาในวันที่ ๔ กันยายน ที่จะถึงนี้ จึงคาดว่าน่าจะสามารถสรุปผลได้ในเวลาอันใกล้
ล่าสุดวันนี้ นายเนติวิทย์ ให้สัมภาษณ์ทีมข่าวไบรท์นิวส์ทางโทรศัพท์ว่า คำสั่งที่ถูกปลดออกจากการเป็นประธานสภานิสิตฯ เป็นเรื่องจริง เนื่องจากขาดคุณสมบัติตามระเบียบจุฬาฯ ซึ่งโดยหลักเกรฑ์แล้วสมาชิกสภานิสิตต้องถูกตัดคะแนนความประพฤติไม่เกิน 20 คะแนน แต่ตนและเพื่อนๆ ถูกตัดคนละ 25 คะแนน จึงทำให้พ้นสภาพของการเป็นสมาชิกสภานิสิตจุฬาฯ อีกทั้งตนเป็นประธานสภานิสิตจุฬาฯ จึงถูกปลดจากการเป็นประธานด้วย ซึ่งเรื่องนี้สมาชิกสภานิสิตจุฬาฯ ที่ทราบข่าว หลายคนก็รู้สึกช็อก และแสดงการไม่ยอมรับคำสั่งดังกล่าว โดยคิดว่าทำกันเกินไป ส่วนตนเองและเพื่อนๆ ที่ถูกปลดอีก 4 คน กำลังหารือกันเพื่อจะใช้สิทธิอุทธรณ์ ภายใน 30 วัน