ปัญหาที่ยังหาข้อสรุปไม่ได้ระหว่าง กทม. และ บีทีเอส เรื่องการต่อสัญญาสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวเพิ่ม 30 ปี จากเดิมที่จะหมดอายุในปี 2572
นายสุรพงษ์ เลาหะอัญญา กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัทระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ ผู้ให้บริการรถไฟฟ้าบีทีเอส ชี้แจงว่า “ราคาค่าโดยสารรถไฟฟ้า BTS สายสีเขียว กับ MRT สายสีน้ำเงิน มีค่าเฉลี่ยค่าโดยสารใกล้เคียงกัน โดยสายสีเขียวมี 59 สถานี เก็บไม่เกิน 65 บาทตลอดสาย ส่วนสายสีน้ำเงินมี 38 สถานี เก็บค่าโดยสารสูงสุด 42 บาท แต่ที่ต่างกันคือภาระต้นทุน ที่แตกต่างกันมาก โดยสายสีเขียวบีทีเอสต้องรับชำระหนี้ค่างานโยธาแทน กทม. กว่า 6 หมื่นล้านบาท แต่สายสีน้ำเงินไม่มีต้นทุนเพราะรัฐออกค่างานโยธาให้ทั้งหมด”
นอกจากค่าโยธาที่ทางรถไฟฟ้าสายสีเขียวต้องชำระเองแล้ว บีทีเอสยังต้องแบ่งรายได้ให้ กทม. ทุกปี รวมแล้วเกิน 2 แสนล้านบาท และเมื่อรวมกับหนี้ต่างๆ รวมถึงวงเงินที่ต้องลงทุนเพิ่มเติม ทำให้ค่าต่ออายุสัมปทานสายสีเขียวสูงเกิน 3 แสนล้านบาท และหากผลตอบแทนเกินกว่า 9.60% ยังต้องแบ่งรายได้ให้ กทม. เพิ่มอีก
ทั้งนี้ หากไม่มีการต่อสัญญาสัมปทานให้บีทีเอส จะมีการเปิดประมูลใหม่หรือไม่นั้น คงต้องรอให้สัมปทานหมดลงก่อนในปี 2572 แต่จากการที่ กทม. เคยประเมินความสนใจของเอกชนพบว่า “ไม่มีเอกชนสนใจ” จึงต้องเร่งให้ได้ข้อสรุปเรื่องการต่ออายุสัมปทาน เพราะเดือน ธ.ค.นี้ จะเปิดเดินรถเพิ่มอีก 7 สถานีจนถึงสถานีคูคต โดยจะเป็นการให้บริการสายสีเขียวครบตลอดทั้งเส้นเชื่อมการเดินทาง 3 จังหวัด กรุงเทพฯ สมุทรปราการ และปทุมธานี
อย่างไรก็ตาม หากไม่มีการต่อสัมปทาน กทม. จะมีภาระที่ต้องหาเงินมาจ่ายหนี้ และต้องเก็บค่าโดยสารตามระยะทางโดยราคาสูงสุดอยู่ที่ 158 บาท แต่หากต่ออายุสัมปทานก็จะสามารถเก็บค่าโดยสารสูงสุด ได้ในอัตราไม่เกิน 65 บาทตลอดสาย
