โควิด19 – นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. แถลงภายหลังการประชุมคณะกรรมการชุดใหญ่ว่า ที่ประชุมมีมติอนุมัติมาตรการผ่อนคลายอนุญาตให้บุคคลเดินทางเข้ามาในประเทศได้ 6 กลุ่ม ประกอบด้วย
ศบค.เคาะแล้ว! เห็นชอบต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน อีก 1 เดือน ถึงสิ้นเดือนต.ค.นี้
ศบค. อัพเดท ไทยติดเชื้อ โควิด-19 พุ่ง 22 ราย เป็นทหารไทยกลับจากตปท.
ไทยไม่พบผู้ป่วยในประเทศ – ศบค. พบผู้ติดเชื้อใหม่ 2 รายมาจากตปท.
- นักกีฬาต่างชาติที่จะเข้ามาแข่งขันกีฬาจักรยานทางไกลนานาชาติเฉลิมพระเกียรติ โดยกิจกรรมจะจัดขึ้นในหลายจังหวัด ประกอบด้วย สมุทรสงคราม เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร ระนอง สุราษฎร์ธานี ระหว่างวันที่ 6-16 ต.ค.นี้ ซึ่งนักกีฬาที่จะเดินทางเข้ามาจะพักที่ State Quarantine คือ โรงแรมรัตนโกสินทร์
- นักบินและลูกเรือบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) จากเที่ยวบิน Repatriation Flight หรือเที่ยวบินที่รับคนไทยกลับประเทศ รวมทั้งที่รับนักกีฬาเข้ามาในประเทศ ให้ดำเนินการกักตัวใน State Quarantine (คาดว่ามีจำนวนประมาณกว่า 300 คน)
- อนุญาตให้ผู้ที่ถือวีซ่าประเภทคนอยู่ชั่วคราว (Non-Immigrant) ประเภทต่างๆ เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร โดยต้องแสดงเงินหมุนเวียนในบัญชีย้อนหลัง 6 เดือน ไม่ต่ำกว่า 5 แสนบาทด้วย
- กำหนดเงื่อนไขผู้ขอวีซ่าท่องเที่ยวสำหรับกลุ่ม Long stay หรือที่เรียกว่า กลุ่มนักท่องเที่ยววีซ่าพิเศษ (Special Tourist Visa: STV) โดยในเบื้องต้น นักท่องเที่ยวต่างชาติต้องถูกกักตัวในจังหวัดที่กำหนด เป็นเวลา 14 วัน แต่จะสามารถเดินทางออกนอกที่พักได้ไม่เกิน 1 กิโลเมตร หากไม่พบเชื้อ จึงจะสามารถท่องเที่ยวนอกรัศมีที่กำหนด ซึ่งจะอยู่ในประเทศไทยได้ระยะยาว คือ 90 วัน และต่อวีซ่าเพิ่มได้ 2 ครั้ง รวม 270 วัน หากต้องการข้ามจังหวัดต้องถูกจำกัดพื้นที่อีกครั้งนาน 7 วัน
- อนุญาตให้ผู้ถือบัตร APEC Card (นักธุรกิจที่อยู่ในกลุ่ม 18 ประเทศ) เข้าประเทศเพื่อประโยชน์ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโดยเลือกประเทศที่มีความเสี่ยงน้อย อาทิ นิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย สิงคโปร์ มาเลเซีย เกาหลี จีน ฮ่องกง รวมแล้วประมาณ 1 แสนคน และ
- อนุญาตให้ผู้ที่ประสงค์ที่จะพำนักในประเทศในระยะสั้นและระยะยาว เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร โดยกลุ่มนี้อยู่ได้ 60 วัน ขอต่อเพิ่มได้ 30 วัน มีเงื่อนไขประกอบว่าต้องแสดงเงินหมุนเวียนในบัญชีย้อนหลัง 6 เดือน ไม่ต่ำว่า 5 แสนบาท ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศจะเป็นผู้พิจารณา